หนึ่งสัปดาห์ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้ วันศุกร์วนมาอีกครั้ง ก็เป็นวันแห่งนิทานอีกเช่นเคยนะครับ วันนี้เอานิทานจีนมาฝากให้อ่านกันครับ
ครั้งหนึ่งมีชายตาบอดเดินข้ามสะพานไม้ ซึ่งน้ำในคลองที่อยู่ใต้สะพานได้แห้งขอดไปนานแล้ว แต่ชายตาบอดผู้นั้นไม่ทราบ เขาจึงเดินข้ามสะพานอย่างระมัดระวังอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าจะตกลงไปในคลอง เนื่องจากเขาว่ายน้ำไม่เป็น ขณะที่เดินไปถึงกลางสะพาน เขาเกิดก้าวพลาด แต่ก็ยังเอามือจับราวสะพานไว้ได้ และโหนตัวห้อยโตงเตงตะโกนให้คนช่วยเสียงหลง
คนที่ผ่านมาเห็นเข้าจีงบอกเขาว่า
“ไม่ต้องกลัว น้ำในคลองแห้งหมดแล้ว แกรีบปล่อยมือเถอะ มันไม่ได้สูงด้วย ลงเดินได้เลยถ้าปล่อยมือ”
ชายตาบอดได้ยินแล้ว ก็ไม่เชื่อ ยังคงจับราวแน่น และห้อยโตงเตงแบบนั้นต่อไป จนสุดท้ายหมดแรงโหนต่อไปไม่ไหว เขาก็เลยปล่อยมือยอมที่จะตกลงไปในคลองนั้น
แต่พอปล่อยมือได้ไม่ทันไร เท้าก็แตะที่พื้นดิน ชายตาบอดผู้นั้นก็รู้สึกดีใจมาก และพูดขึ้นว่า
“โธ่เอ๋ย ถ้าฉันรู้ว่าข้างล่างเป็นดินเสียตั้งแต่แรก ฉันจะไปโหนให้เมื่อยทำไม”
***นิทานจากหนังสือปรัชญาชีวิตในสุภาษิตจีน แปลและเรียบเรียงโดย ก. กุนนที และบุญศักดิ์ แสงระวี***
มุมมองและข้อคิด
การที่ชายตาบอดไม่ยอมปล่อยมือ เพราะกลัว และไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดนั้น ก็ยังเป็นสิ่งที่พอรับได้อยู่ แต่กับคนที่ตาดี มองเห็นทุกอย่าง แต่กลับไม่ฟัง ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ยังคงทำแบบเดิมๆ ทำแบบที่เคยทำ แถมยังดื้อ ให้เหตุผลกับตนเองว่า “มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย” ก็เปรียบเสมือนคนตาบอดคนนั้น และที่สำคัญก็คือ พอมารับรู้ว่าคนอื่นเขาเปลี่ยนแปลงกันไปแล้ว และเกิดผลดีเกิดขึ้น ก็ค่อยมาอ้างว่า “รู้อย่างนี้เปลี่ยนแปลงตนเองไปซะตั้งนานแล้ว ไม่รอมานานขนาดนี้หรอก” ซึ่งมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยที่จะมาบ่นแบบนั้น
ในชีวิตของเราเองก็เหมือนกัน เราอาจจะประสบความสำเร็จกับงานบางอย่างที่เราเคยทำ จนทำให้เราเกิดความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก มากเสียจนไม่เปิดใจมองสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามา ยังคงยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรมาทดแทนได้เลย เชื่อแบบนี้ผลเสียจะตามมาอีกมาก
เราจึงควรเปิดใจ รับและศึกษาสิ่งใหม่ๆ ความรู้ใหม่ๆ ความคิดเห็นใหม่ๆ ของคนอื่น แม้กระทั่งของคนที่ไม่มีประสบการณ์เท่าเรา เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เราจะสามารถนำมาต่อยอดความคิด และความรู้ของเราที่มีอยู่ได้ และทำให้เราเติบโตต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มิฉะนั้นแล้ว ก็คงจะเหมือนกับชายตาบอดในนิทาน เพียงแต่เราตาไม่บอด แต่บอดที่ใจมากกว่า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น