วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

นิทานสอนใจ ไก่ซีอีโอ


นิทาน สอนใจวันนี้ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมอ่านแล้วรู้สึกชอบมากๆ ครับ ก็เลยเอามาให้อ่านกันครับ เป็นนิทานเซน ซึ่งมาจากหนังสือชื่อ “ชาล้นถ้วย” ที่รวบรวมเอานิทานเซนของท่านเว่ยหลาง และท่านฮวงโปมาไว้ด้วยกัน เรื่องราวมีดังนี้ครับ


ที่วัดเซนแห่งหนึ่ง มีไก่อยู่ครอบตัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยา และลูกๆ ทุกตัว และอยู่กันมาอย่างมีความสุข

ทุกๆ เช้า เวลาตีห้า พ่อไก่ที่เป็นหัวหน้าครอบครัวก็จะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้และโก่งคอขัน เสียงก้องไปทั้งพงไพร จนถึงประมาณหกโมงเช้า ก็ถึงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นมาฉายแสงส่องสว่างไปทั่ว

พ่อไก่มีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ ทอแสงสุกสว่างขึ้นมา เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวันและรู้สึกภาคภูมิใจว่า “เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น นี่คือผลงานที่ยิ่งใหญ่ของฉัน”

ดังนั้นทุกๆ เช้าพ่อไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้ และเมื่อขันเสร็จ ก็จะรอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้นแล้ว ก็บินกลับลงมาหากินกับลูกเมียตามปกติ อย่างมีความสุขมาก

อยู่มาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายเริ่มทนไม่ไหว ก็เริ่มป่วย เช้าตรู่วันนั้นพ่อไก่บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้น กลับร่วงหล่นลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ พร้อมกับพูดว่า

“พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนให้เอาไหม”

พ่อไก่ซึ่งเป็นซีอีโอก็ยืดอกขึ้น และหันมาชี้หน้าลูกพร้อมกับตอบเสียงดังว่า “น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขัน ตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ”

เช้าวันนั้น ทั้งๆ ที่ป่วยอยู่ ไก่ซีอีโอตัวนั้นก็ขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้เดิม และขันเป็นครั้งสุดท้าย เนื่องจากขันได้เพียงครั้งเดียว ก็ตกลงมาดิ้นพราดๆ ก่อนที่จะขาดใจตายก็เรียกประชุมผู้ถือหุ้น และผู้บริหาร และครอบครัว ทั้งภรรยาและลูกๆ มากันครบ และสั่งเสียว่า

“พวกเราทั้งหลาย ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พ่อคงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว และจากนี้เป็นต้นไป พอพ่อไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค ฉะนั้นขอให้แม่ ดูแลลูกๆ และบริษัทของเราให้ดี ถ้าไม่มีพ่อแล้วทุกคนก็จะอยู่ด้วยความยากลำบาก และมนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ ดูแลกันให้ดีนะ”

พูดจบก็ ขาดใจตายไปพร้อมกับความเข้าใจผิดที่ว่า เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น โดยที่หารู้ไม่ว่า วันรุ่งขึ้นตะวันก็ยังคงขึ้นตามปกติไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย

อ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรบ้างหรือเปล่าครับ

สิ่งที่ได้ก็คือ คนเราทุกคนเมื่อทำงานกันไปได้ระดับหนึ่งแล้ว จะมีความมั่นใจในตนเองว่าฉันเป็นคนสำคัญ เพราะฉันนี่แหละที่ทำให้บริษัทอยู่รอดได้ เพราะฉันนี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นไปได้ด้วยดี พอเริ่มมั่นใจมากๆ เข้า ก็เริ่มหลงตัวเอง ว่าไม่มีใครที่จะมาทำงานแทนฉันได้

ภาพของพ่อไก่ เรามักจะเจอกันบ่อยๆ ในองค์กรที่เป็นธุรกิจครอบครัว ที่รุ่นพ่อมีความมั่นใจในตนเองสูงมาก เพราะความสำเร็จทุกอย่างในวันนี้ มาจากสิ่งที่เขาสร้างมากับมือ ก็เลยมีความรู้สึกว่า ถ้าขาดฉัน บริษัทก็จะไปไม่รอด โดยที่ไม่ยอมเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ

ซึ่งถ้าเชื่อมั่นมากจนเกินไป มันก็จะเกิดผลกระทบที่ไม่ดีต่อทั้งตนเอง ต่อบริษัท และต่อคนทำงานอื่นๆ
ดัง นั้นจงอย่ามั่นใจจนเกิดอาการหลงตัวเองว่าฉันคือทุกสิ่งทุกอย่าง จงปล่อยให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถได้มีโอกาสแสดงฝีมือบ้าง เพราะท่านเองก็ยังเคยเริ่มต้นโดยที่ไม่รู้อะไรมาก่อนเหมือนกัน ใช่มั้ยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น