วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
นิทานสอนใจ กอดทิฏฐิ
วันนี้ขออาราธนาคำสอนของท่าน ว. วชิรเมธี ที่ได้เขียนไว้ในหนังสือ “ชาล้นถ้วย” มาให้อ่านกัน เป็นเรื่องของทิฏฐิมานะของคนเรา ซึ่งถ้าเราสามารถปล่อยวางได้ ก็จะพบกับความสุขที่แท้จริง เรื่องราวเป็นอย่างไร ลองอ่านดูนะครับ
มีโยมมาปรึกษาผู้เขียนว่า (ในที่นี้คือท่าน ว.วชิรเมธี) ทะเลาะกับลูกไม่คุยกันมาสามวันแล้ว ก็เลยถามไปว่า
“ระหว่างลูกกับทิฏฐิ (อาการที่ไม่ยอมคุยกัน) คุณรักอะไรมากกว่ากัน”
“รักลูกมากกว่าค่ะ” เธอตอบ
“ในเมื่อรักลูกมากกว่า ทำไมไม่ยอมวางทิฏฐิ” ผู้เขียนถาม
“ถ้าเรายอมคุยกับลูกก่อน เดี๋ยวลูกก็ได้ใจ” เธอตอบ
“ลูกอายุเท่าไหร่”
“17 ปีค่ะ”
“ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ไปพักอยู่ที่หอพักของเพื่อนแล้ว”
“รู้ได้อย่างไรว่าหอนั้นจะปลอดภัย”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“ห่วงลูกไหม”
“นอนไม่หลับมาสามคืนแล้วค่ะ”
“ถ้าคุณรักทิฏฐิมากกว่า คุณก็คงต้องนอนกอดทิฏฐิต่อไป แต่ถ้าคุณรักลูก ก็ทิ้งทิฏฐิเสีย ไปรับลูกคืนมา”
เช้าวันรุ่งขึ้นเธอคนนั้นโทรมาบอกว่า ยอมไปรับลูกมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน และคุยกันดีแล้ว วันนี้จะไปส่งลูกเรียนพิเศษเหมือนเดิม ผู้เขียนพลอยอนุโมทนาว่าทำถูกแล้ว ที่เลือก “กอดลูก” มากกว่า “กอดทิฏฐิ” “ทิฏฐิ” ไม่มีตัวตน แต่บางครั้งเราก็รักมันยิ่งกว่าคนเป็นๆ ซึ่งมีตัวตนเสียอีก
ในชีวิตคนเราก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ เพื่อน เพื่อนร่วมงาน หัวหน้ากับลูกน้อง ฯลฯ ย่อมจะมีเหตุการณ์เช่นข้างต้นเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง บางคู่ก็เหมือนกับลิ้นกับฟันกระทบกัน ก็แก้ปัญหาได้ ยอมลงให้แก่กันและกัน แต่บางคนบางคู่ เมื่อลิ้นกับฟันกระทบกันแล้ว ก็กลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตทันที ต่างคนต่างแยกกันเดินไปคนละทาง ทั้งๆ ที่หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง “ยอมวางทิฏฐิ” เสียบ้างเท่านั้น ความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็จะอันตรธานหายไปทันที
คุณปู่คนหนึ่งเป็นมหาเศรษฐีครอบครองเกาะแสนสวยแห่งหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งคุณปู่ก็ล้มป่วย ด้วยความรักและอาลัยเสียดายเกาะที่สร้างสรรค์พัฒนามากับมือ คุณปู่จึงเดินไปที่ชายหาด เรียกลูกหลายมารายล้อมแล้วก็สั่งว่า
“เกาะ นี้ปู่สร้างมากับมือ ตั้งแต่ยังไม่เคยมีใครย่างเหยียบมาเที่ยว จนกลายเป็นเกาะมีชื่อเสียง ขอให้ลูกหลานทุกคนรักษาเกาะนี้ไว้ให้ดีที่สุด”
ว่าแล้วคุณปู่ก็หยิบทรายมาเต็มกำมือ พินิจดูทรายในมืออย่างสงบ เหมือนจะจำทรายทุกเม็ดไว้ในความทรงจำ ทันใดนั้นคุณปู่ก็สิ้นลมต่อหน้าลูกหลาน
นาทีเดียวกับที่ดับจิต คุณปู่ก็ถือปฏิสนธิเป็นเทวดาบนสวรรค์ แต่ก่อนเข้าแดนสวรรค์ มีเจ้าหน้าที่สวรรค์คนหนึ่งมาบอกคุณปู่ว่า
“เทวดาใหม่จะเข้าไปเสวยสุขในทิพยวิมานได้ ต้องปล่อยวางทุกอย่างที่ติดตัวมาแต่โลกมนุษย์เสียก่อน”
คุณปู่มองตัวเองพบว่ามีทรายอยู่เต็มกำมือ เทวดาเจ้าหน้าที่จึงบอกให้ปล่อยทรายในกำมือก่อน เทวดาคุณปู่จึงบอกว่า
“ทรายนี้คือสัญลักษณ์ของเกาะทั้งหมด ฉันรักเกาะนี้มาก หยิบมาจากโลกมนุษย์ จะให้ปล่อยง่ายๆ ได้อย่างไร”
ไม่ว่าจะชี้แจงอย่างไร เทวดาคุณปู่ก็ไม่ยอมปล่อยทรายในกำมือ
คุณปู่เทวดาจึงได้แค่ยืนอยู่ธรณีประตูสวรรค์นานแสนนานด้วยความลำบาก มาเกิดบนสวรรค์แต่ไม่ได้เสวยสุขบนสวรรค์ ช่างน่าสมเพชจริงๆ
กระทั่งเวลาผ่านไปหลายปี วันหนึ่งมีนางฟ้าคนหนึ่งมาปฏิสนธิบนสวรรค์ เทวดาคุณปู่จำนางฟ้าได้ว่า คือหลานสาวของตนเองในโลกมนุษย์ จึงดีใจมาก วิ่งเข้าไปกอดนางฟ้าหลานสาวด้วยความดีใจ นาทีที่เทวดาคุณปู่อ้าแขนกางมือออกนั่นเอง ทรายในกำมือก็ร่วงหล่นหมดสิ้น พร้อมๆ กับประตูสวรรค์ก็เปิดออก
เทวดาคุณปู่ตกใจมากที่มองเห็นว่า ในแดนสวรรค์นั้นมีเกาะทิพย์ซึ่งเหมือนเกาะสวรรค์ของตัวเองบนโลกมนุษย์ ทุกอย่าง รอให้ตนมาครอบครองเป็นเจ้าของอยู่แล้ว คุณปู่จึงถามเจ้าหน้าที่สวรรค์ว่า “เกาะของผมมาอยู่บนสวรรค์พร้อมๆ กับผม แล้วทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่แรกเล่า ผมจะได้มาเสวยสุขเสียแต่แรกที่มาเกิดเป็นเทวดา”
เจ้าหน้าที่สวรรค์ก็บอกว่า “เรา เตือนคุณแล้วให้ปล่อยวางทุกอย่างเสียก่อน จากนั้นคุณจะได้เสวยสุข แต่เมื่อคุณไม่ยอมปล่อยวาง ทิพยสมบัติทั้งปวงของคุณก็เลยไม่มีใครเป็นเจ้าของ เกาะทิพย์ของคุณน่ะ เขารอคุณมาพำนักตั้งนานแล้ว”
คุณปู่ได้ยินเช่นนี้จึงรำพึงกับตัวเองว่า “รู้อย่างนี้ฉันปล่อยทรายในมือเสียตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว”
อ่าน จบแล้วก็น่ะจะช่วยให้ท่านผู้อ่านปล่อยวางทิฏฐิลงไปได้ง่ายขึ้นบ้างนะครับ เพราะการกอดทิฏฐิไว้ด้วยความยึดมั่นถือมั่นว่าถูกต้องนั้น มันอาจจะทำให้เราไม่พบกับความสุขที่แท้จริง คนเรารักกันแล้ว การยอมอภัยให้แก่กันนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อเราให้อภัยแก่กัน ไม่กอดทิฏฐิไว้ สุดท้ายเราก็จะกอดความสุขแทน
แล้ววันนี้คุณจะเลือกกอดทิฏฐิ หรือ กอดความสุข ดีครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น