วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2557

นิทานสอนใจ: ทัศนคติที่ดี ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้


เรื่องของทัศนคตินั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิตในปัจจุบัน เรื่องทัศนคติเป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงเยอะมาก โดยเฉพาะในแวดวงของการพัฒนาตนเอง การสร้างตนเองให้ประสบความสำเร็จ รวมทั้งการทำงานในองค์กรให้ประสบความสำเร็จ


การมองโลกในแง่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ชีวิตของเรามีความสุข การคิดบวกเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตของเราเป็นบวกได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัว เพื่อน คนรัก เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว และการทำงาน วันนี้ผมก็ได้อ่านเจอนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งหาชื่อคนแต่งไม่ได้ ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดทราบก็แจ้งมาได้นะครับ จะได้ลงเครดิตไว้ให้ครับ เรื่องราวมีดังต่อไปนี้ครับ

…กาลครั้งหนึ่ง มีนครอยู่นครหนึ่ง และมีกษัตริย์ครองนครกษัตริย์ทรงโปรดปรานการท่องป่าล่าสัตว์เป็นอันมาก กษัตริย์ทรงมีมหาดเล็กคู่ใจเป็นที่ปรึกษาอยู่คนหนึ่ง

วันหนึ่งได้เกิด กบฏขึ้นภายในพระนคร มีคนลุกฮือขึ้นจะโค่นอำนาจกษัตริย์ซึ่งก็มีแววจะชนะซะด้วย เมื่อกองทัพกบฏประชิดเมืองกษัตริย์ก็ได้ปรึกษากับคนสนิทเป็นการใหญ่ซึ่งรวม ไปถึงมหาดเล็กคู่ใจของเขาด้วย กษัตริย์ถามว่า

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”
“ดีพะยะค่ะ”
“ดียังไง”
“สถานการณ์ เวลานี้แม้จะดูไม่สู้ดีนัก แต่อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าใครบ้างที่จะจงรักภักดีกับเรา ใครที่คิดจะแปรพรรคไปด้านโน้นซึ่งหากเราปราบกบฏครานี้ลงได้ ท่านก็จะเหลือแต่ลูกน้องที่จงรักภักดีกับท่านทำให้ไม่ต้องกังวลพระทัยอีกต่อ ไปพะยะค่ะ”

“อืม นั่นสินะ”

หลังจากนั้นกษัตริย์ก็มีกำลังใจเป็นอันมาก และปราบกบฏลงสำเร็จหลังจากนั้นไม่นานพอย่างเข้าหน้าฝนฝนก็ตกหนักจนท่วมลาม เข้าในพระนครทำให้การคมนาคมติดขัด ไม่สามารถเดินทางออกนอกพระนครได้กษัตริย์ที่ปกติจะออกป่าล่าสัตว์ก็เกิด อาการหงุดหงิดกษัตริย์ก็ปรึกษามหาดเล็กอีกครั้ง

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”
“ดีพะยะค่ะ”
“ดียังไง”
“ถึงแม้ตอนนี้เราจะไม่สามารถสัญจรไปไหนมาไหนได้ ก็ไม่เป็นไรพะยะค่ะ"
"เนื่อง จากตอนนี้เป็นหน้าฝนอย่างไรเสียการเสด็จออกป่าก็คงไม่สนุกเป็นแน่แท้ และเป็นการดีเสียอีกที่พอน้ำลดเกษตรกรเราก็จะได้ทำการเพาะปลูกได้ผลผลิตงอก งาม และสามารถกักตุนเสบียงได้ในยามจำเป็นพะยะค่ะ”
“อืม นั่นสินะ”

พอเสร็จสิ้นหน้าฝนและน้ำลดแล้วกษัตริย์ก็ทรงออกป่าล่าสัตว์ตามที่พระองค์ชอบ เหมือนเดิม ซึ่งมหาดเล็กคนเดิมก็ติดตามไปด้วย แต่แล้วขณะที่พระองค์ทรงอยู่บนหลังม้าปลอกพระขันธ์หรือมีดพกที่เหน็บเอวได้ รั่วทำให้มีดหล่น เฉือนนิ้วก้อยของกษัตริย์ขาดไปต่อหน้าต่อตากลายเป็นคนนิ้วด้วน กษัตริย์จึงถามมหาดเล็กเช่นเดิม

“เจ้าคิดยังไงกับเรื่องนี้”
“ดีพะยะค่ะ”
“ดียังไง หา (ใส่อารมณ์โกรธสุดๆ)”
“ยังไงก็ดีกว่าตายพะยะค่ะ”

กษัตริย์โกรธเลือดขึ้นหน้ามาก
สั่งทหารนำมหาดเล็กคนนั้นไปขังลืมในคุกขี้ไก่

และแล้ว 10 ปี ผ่านไปกษัตริย์ได้ออกล่าสัตว์เหมือนเดิมขณะที่มหาดเล็กก็ยังถูกลืมอยู่ในคุก ขี้ไก่เหมือนเดิมครานี้เป็นโชคร้ายของกษัตริย์เมื่อเข้าป่าไปเจอกับเผ่ากิน คนซึ่งมีจำนวนมากกว่าจำนวนทหารที่ติดตามไปด้วยมากทหารทั้งหมดจึงถูกจับและ ถูกต้มกินเป็นๆหมดเกลี้ยงจนเหลือแต่กษัตริย์คนเดียว
เมื่อเผ่ากินคน เตรียมจะเชือดกษัตริย์ลงหม้อได้สังเกตเห็นว่ากษัตริย์ไม่มีนิ้วก้อยเท้าซึ่ง ทางเผ่ากินคนได้มีความเชื่อถือว่าเป็นตัวกาลกินีกินเข้าไปแล้วจะเกิดภัย พิบัติใหญ่หลวงแก่เผ่าจึงสั่งปล่อยตัวกษัตริย์ไปซะกษัตริย์ดีใจมาก

เมื่อกษัตริย์ดีใจที่รอดตายกลับเมืองได้ จึงนึกถึงคำเมื่อ 10ปีก่อนของมหาดเล็กคู่ใจ จึงลงไปที่คุกขี้ไก่และสั่งปล่อยตัวมหาดเล็กคู่ใจทันทีและทรงเล่าเหตุการณ์ ที่เจอมาด้วยความดีใจที่รอดชีวิตมาได้

“อืม คำเจ้าเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นจริงยังไงนิ้วก้อยด้วนก็ยังดีกว่าตายจริงๆ”
“พะยะค่ะ”

กษัตริย์จึงถามต่อ

“แล้วอยู่ในคุกขี้ไก่เป็นไงบ้างล่ะหือ”
“ดีพะยะค่ะ”

กษัตริย์ทำหน้างง

“ดียังไง”
“ถ้ากระหม่อมไม่อยู่ในคุก ก็ทรงเสด็จตามท่านไปในวันนั้นด้วยและคงจะโดนเผ่ากินคนกินไปแล้วพะยะค่ะ”

 ขอให้ท่านมีทัศนคติที่ดี คิดดี และสิ่งที่ดีๆ ก็จะเข้ามาในชีวิตของเราในที่สุดครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น