วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การทำงานเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับ ยังมีอยู่จริงหรือ


ถ้าท่านผู้อ่านได้เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการสร้างความสำเร็จให้กับตนเอง จะพบกับกฎอยู่ข้อหนึ่งที่เขียนไว้ว่า “จงทำงานให้มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับ” ประโยคนี้มีคนสงสัยว่า ยังมีใครที่คิดแบบนี้และทำแบบนี้อยู่ในปัจจุบันบ้าง


ผมเคยคุยเรื่องนี้เวลาที่มีบรรยาย ก็มีผู้บริหารหลายคน สวนกลับมาว่า มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอุดมคติมากกว่ามั้ง จะมีใครที่ยอมทำงานเกินกว่าเงินเดือนที่ได้รับบ้างล่ะ

ท่านผู้อ่านละครับ คิดอย่างไรกับประโยคนี้

นาย 3 คนของผมพูดอยู่เสมอว่า สิ่ง หนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในการทำงานก็คือ การที่เรารู้สึกสนุกกับการทำงานแม้ว่างานนั้นจะยาก หรือท้าทายแค่ไหนก็ตาม การที่เรารู้สึกสนุกกับงานจะทำให้เราสามารถเอาชนะอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการทำ งานนั้นได้อย่างสบายๆ

จะเห็นได้ว่าคนที่ประสบความ สำเร็จ เป็นดาวรุ่งขององค์กร จะเป็นคนที่ทุ่มเททำงานอย่างไม่คิดถึงเงินเดือน หรือผลตอบแทนที่เขาจะได้รับ คิดเพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จในงานที่ตนเองรับผิดชอบอยู่

ซึ่งในทางปฏิบัติผมพบว่าคนแบบนี้ยังมีอยู่จริงในทุกองค์กร เราอาจจะเห็นหรือไม่เห็น แต่จะมีพนักงานบางคนที่เรียกได้ว่าทุ่มเทให้กับการทำงานมากมาย โดยไม่สนใจว่าเงินเดือนจะได้เท่าไหร่ บางคนถึงกับยอมออกเงินตัวเองเพื่อทำงานบางอย่าง โดยไม่คิดจะเรียกคืนจากบริษัทก็มี และเท่าที่ผมเห็น คนลักษณะนี้ก็มักจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมากกว่าคนอื่นๆ

แต่ในสังคมปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงผลตอบแทนจากการทำงาน และมักจะคิดเสมอว่า ถ้าฉันทุ่มเทมากมายขนาดนี้แล้ว ฉันจะได้อะไรตอบแทนกลับมา เงินเดือนแค่นี้น่ะหรอ มันไม่คุ้มกันเลย”

ผลจากการคิดแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เราก็จะทำงานแค่ให้รู้สึกว่าคุ้มกับเงินที่เราได้รับ แล้วแบบนี้เราจะประสบความสำเร็จได้จริงหรือ คนที่เป็นหัวหน้างาน หรือเป็นนายคน เขาเห็น เขารู้ ว่าลูกน้องคนไหนทำงานทุ่มเทจริงจัง คนไหนเน้นเงิน แต่ไม่เน้นงาน สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ถ้าเราทำงานแบบขอไปที เราก็จะเติบโตแบบขอไปทีเหมือนกัน ส่วนคนที่ทุ่มเททำงานด้วยความรัก ทำอย่างจริงจังและจริงใจ และมีความสุข นายก็จะส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าขึ้นไปอีก

เรามองมาดูคนที่ประสบความ สำเร็จในโลกนี้ แทบทุกคน ล้วนแล้วแต่ทุ่มเทชีวิต ทุ่มเทเวลาในงานที่ตนเองรัก เพื่อให้ตนเองประสบความสำเร็จดังที่เราตั้งใจไว้ สิ่งที่เขาได้รับก็คือความสุขในการทำงาน และความสุขนี้ก็จะส่งผลให้ได้รับค่าตอบแทนที่คุ้มค่าทีเดียว แล้วทราบไหมครับว่าค่าตอบแทนที่ได้รับนี้มาจากไหน

จากประสบการณ์ส่วน ตัวของผมที่พบปะกับวิทยากรที่บรรยายในหลักสูตรต่างๆ วิทยากรที่ยินดีสอนด้วยความเต็มใจ สอนด้วยความสุขที่ได้สอน โดยไม่คุยเรื่องราคา หรือเรื่องเงินเลย คิดแต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้งานสอนออกมาดีที่สุด และคนฟังได้รับความรู้กลับไปมากที่สุด ด้วยความตั้งใจเต็มที่แบบนี้ พอลูกค้าเห็น เขาก็บอกต่อๆ กันไปอีก ผลก็คือ ปีๆ หนึ่ง เขาจะมีลูกค้าติดต่อไปให้บรรยายอยู่ตลอด ไม่ขาดช่วงเลย สุดท้ายเงินมันก็มาเอง ผิดกับวิทยากรบางคนที่จะให้บรรยายทีไร ก็ต้องต่อรองเรื่องค่าตัว ค่าสอนกันก่อนเลย ไม่พอใจก็ไม่รับสอน และแสดงท่าทีอย่างเห็นได้ชัดว่าต้องการค่าตอบแทนตามที่ตนตั้งไว้ คนลักษณะนี้ก็มักจะไปได้ไม่ไกลนัก เพราะคนในวิชาชีพนี้ เขาเอาความรู้เป็นที่หมาย มีจิตวิญญาณของการให้ ไม่ได้เอาเงินเป็นตัวตั้ง

พนักงานบางคน ตอนเช้าต้องมาพอดีกับเวลาเริ่มงาน เขาให้เริ่ม 8 โมงเช้า ก็มาถึง 8 โมงเช้าพอดี แต่มาถึงก็ไม่เริ่มงานทันทีนะครับ เอาเวลาบริษัทไปนั่งกินข้าว จากนั้น ทำงานไปดูนาฬิกาไป ว่ากี่โมงแล้ว รอเวลาเที่ยง ลงไปทานข้าว บ่ายกว่าๆ ขึ้นมาทำงาน หลับซักนิด ตื่นมาบ่ายสองเศษ นั่งทำงาน แล้วก็มองนาฬิกาว่าเมื่อไรจะ 5 โมงเสียที จะได้เตรียมตัวกับบ้าน คนแบบนี้ก็คงต้องทำงานแบบนี้ไปจนเกษียณ
ผมก็เลยขอบังอาจให้ข้อคิดว่า ถ้าเราไม่ลงมือแสดงฝีมือให้เห็นก่อน แล้วเราจะได้ผลตอบแทนตามที่เราหวังไว้ได้อย่างไร หรือว่าจะรอให้มีคนเอาเงินมาถวายก่อน แล้วจึงค่อยลงมือทำ ถ้าเป็นแบบนั้น รอให้ตายก็ไม่ใครมาให้แน่นอน

ดังนั้นจงทำงานด้วยความรัก ความตั้งใจจริงๆ แล้วผลตอบแทนตามที่เราอยากได้มันจะย้อนกลับมาหาเราเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น