วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ท้อแท้ได้บ้าง แต่อย่าท้อถอยเด็ดขาด
ช่วงนี้ได้พบเจอกับเพื่อนเก่าๆ หลายคน รุ่นน้องที่เรียนด้วยกันบ้าง ต่างก็บ่นว่าเกิดความท้อแท้ในชีวิต ผมเห็นเขายิ่งบ่น ก็ยิ่งท้อหนักเข้าไปอีก จริงๆ แล้วผมเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเคยรู้สึกท้อแท้ใจมาบ้าง ไม่ว่าคนนั้นจะรวย จะจน จะมีหรือไม่มีเงิน บางคนท้อแท้จนสิ้นหวังในชีวิตไปเลยก็คือ บางคนก็ท้อแท้เป็นช่วงๆ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นมีมรสุมอะไรเข้ามาในชีวิตของตนบ้างและรุนแรงสักแค่ ไหน บางคนก็เปลี่ยนเอาความท้อแท้กลั่นออกมาจนเป็นพลังในการต่อสู้ของชีวิตตนเอง เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตของตน
เวลาเรารู้สึกท้อเรามักจะไม่มีแรงที่อยากจะทำอะไรเลย การงานที่เคยทำได้ดี มันก็จะแย่ลงจนคนอื่นสังเกตได้ โดยที่เราเองอาจจะไม่รู้ตัวเลย หรือรู้ตัวแต่ก็ไม่สนใจ เพราะใจมันไม่สู้แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะสนใจไปทำไม แต่สิ่งนี้ล่ะครับที่จะทำให้ชีวิตของเรายิ่งถอยหลังลงไปอีก บางครั้งเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่อยากทำอะไรเลย แต่การที่เราไม่ทำอะไรเลยนั้น มันทำให้เรายิ่งท้อ ยิ่งท้อก็ยิ่งไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร ก็ยิ่งท้อ มันก็วนไปเรื่อยๆ ครับ เราจำเป็นที่จะต้องตัดวงจรนี้ออกไปให้ได้
การตัดวงจรนี้ก็โดยการเริ่ม ลงมือทำอะไรสักอย่างก่อน อย่าอยู่เฉยๆ หรือไม่อยากทำอะไร หาอะไรก็ได้ครับที่เราอยากทำ หรือที่เราชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นเกมส์ ฯลฯ เริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน แล้วพอความรู้สึกเริ่มดีขึ้นก็ค่อยเริ่มลงมือทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานให้มากขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้ก็คือ ให้ลองขับรถออกไปนอกบ้าน หรือจะนั่งรถเมล์ก็ได้นะครับ ยิ่งถ้าได้นั่งรถเมล์แล้วจะยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะเราไม่ต้องใช้สมาธิในการขับรถ ลองสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้คนที่เดินทางไปมา บางคนนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะได้เจอกับคนที่เรารักเราชอบ บางคนเดินเก็บขยะตามถังขยะ ด้วยความหวังว่าจะเจอเศษอาหารที่เหลือๆ ที่จะพอช่วยประทังชีวิตเราไปได้ในแต่ละมื้อ บางคนก็นอนหลบแดดอยู่ข้างถังขยะบ้าง ตามมุมเสาไฟบ้าง
เดินทางดูอะไรไป เรื่อยๆ เราก็จะเริ่มเห็นวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้น ป้าคนกวาดถนนยังคงกวาดเศษขยะ เศษใบไม้ตามทางเท้าด้วยใบหน้าที่ท่วมไปด้วยเหงื่อ พอเข้ามาถึงใจกลางเมือง เราก็จะเริ่มเห็นความวุ่นวายของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ราวกับว่ากำลังเดินไล่ล่าตัวอะไรอยู่ ชีวิตมีแต่ความเร่งรีบ บางคนก็เดินเข้าออกบริษัทต่างๆ ด้วยความหวังว่าจะได้ทำงานที่ตนถนัดและร่ำเรียนมา บางคนก็นั่งทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อแลกกับเงินเดือน และความสำเร็จในชีวิตของตนเอง
ลองพิจารณาผู้คนเหล่านี้สิครับ บางคนแย่กว่าเราด้วยซ้ำ แต่ทำไมเขาถึงยังตั้งหน้าตั้งตาทำ ทำ ทำ ก็เพราะชีวิตยังคงต้องเดินหน้าต่อไปน่ะสิครับ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่มีอะไรกิน ไม่มีความสำเร็จที่เราคาดหวังไว้
สำหรับผมเอง การที่ได้มองดูชีวิตผู้คนเหล่านี้มันช่วยทำให้ผมรู้สึกเกิดแรง เกิดพลังที่จะสู้ชีวิตต่อไป ความท้อแท้ที่เกิดขึ้นมันจะเริ่มหายไป และหมดไป และเริ่มเข้าสู่ความหวังอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อนผมมีสองสามคนที่เป็นนัก ดนตรี คนแรกเล่นกีตาร์ ไปประกวดตามงานต่างๆ ก็พอจะได้รางวัลประดับบ้านบ้าง อีกคนเป่าแซกโซโฟน และเป็นนักดนตรีของโรงเรียน สองคนนี้ต่างก็วางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นศิลปินและนักดนตรีที่โด่งดังให้ได้ แต่โชคชะตากลับพลิกผัน ดนตรีไม่ได้ช่วยให้เขาได้งานทำ ไม่ได้ช่วยให้เขาได้ในสิ่งที่เขาหวัง แต่กลับทำให้เขายิ่งอดอยาก และหาเงินได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน
ทั้งสองคนก็เริ่มท้อแท้ใจ และคิดว่าจะทำอย่างไรดี สิ่งที่เขาทำเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้นก็คือ การที่จะต้องหาเงินมาซื้อข้าวเพื่อประทังชีวิต ดังนั้นก็เดินเข้าโรงรับจำนำ เอาเครื่องดนตรีคู่กายไปจำนำ แซกโซโฟน อาจจะดูมีค่ามากกว่ากีตาร์ราคาไม่กี่พัน ดังนั้นก็เลยจำนำได้ง่ายกว่า ส่วนอีกคนก็ต้องหิ้วกีตาร์เข้าโรงรับจำนำไปเรื่อย รับจำนำแต่ให้ราคาไม่ดี บางที่เห็นก็ไม่รับแล้ว
คนแรกที่จำนำได้ ก็นำเงินไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น หาซื้ออาหารประทังชีวิตไป แต่ถามว่าพอเงินหมดแล้วจะทำอย่างไร คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเดิมเพราะเครื่องมือหากินคู่กายก็ไม่อยู่แล้ว แล้วเขาจะทำอะไร นี่คือผลจากความท้อแท้สิ้นหวัง และการคิดสั้นๆ เพื่อให้อยู่ไปวันๆ
แต่อีกคนหนึ่งพอจำนำกีตาร์ไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรกินเหมือนกัน ก็ไปนั่งพักเหนื่อยอยู่แถวๆ สวนจตุจักร ไม่มีอะไรทำ ก็เลยเอากีตาร์ขึ้นมาบรรเลงเพลงที่ได้ฝึกฝนมา คิดแค่ว่ามันอาจจะช่วยลดความรู้สึกหิวลงไปได้บ้าง เขาหลับตาบรรเลงไปเรื่อยๆ สักพักก็เริ่มมีคนสนใจในบทเพลงที่เขาบรรเลง เพิ่มหยิบเงินและใส่ลงไปในซองกีตาร์ที่เขาวางไว้กับพื้น ห้าบาทบ้าง สิบบาทบ้าง บางคนชอบใจมากๆ ก็ให้เป็นร้อยเลยก็มี เพราะด้วยฝีมือของเขานั้นเรียกว่าอยู่ในขั้นมืออาชีพจริงๆ
วันนั้นเขา ได้ทำในสิ่งที่เขารัก และไม่อดตาย เครื่องมือในการหากินก็ยังอยู่ครบ ความท้อแท้เริ่มหายไป กลายเป็นความหวัง และเริ่มมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตด้วยสิ่งที่เขามีอยู่
วันรุ่งขึ้น เขาก็เริ่มตระเวนเล่นดนตรีตามข้างถนน เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จตุจักรบ้าง สยามบ้าง ไนท์พล่าซ่า บ้าง จนวันหนึ่งก็มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหา และถามเขาว่า “ไปเล่นดนตรีกับพี่มั้ย พี่เห็นเรามาหลายวันแล้ว ฝีมือดีมาก พี่ชอบ น่าจะเล่นเพลงในแนวเดียวกันได้ดี” นั่นก็คือโอกาสที่เริ่มเข้ามาหาเขา ถ้าวันนั้นเขาจำนำกีตาร์ตัวนี้ไป วันนี้คงไม่มีโอกาสแบบนี้
จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เล่นดนตรีกับวงดนตรีใหญ่ และผันตัวเองไปเป็นคนเบื้องหลัง แต่งเพลง ทำดนตรี และเป็นนักดนตรีในห้องอัดเสียงคอยเป็นมือปืนรับจ้างอัดเสียงให้กับศิลปิน ดังๆ หลายคน
จะเห็นว่าความท้อแท้นั้นเกิดได้ แต่อยากไปจมกับมันมากนัก ต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารักและถนัดที่จะทำ ทำไปเถอะครับ ทำอย่างอดทน และมั่นคง ผมเชื่อว่าถ้าเราทำมันอย่างเต็มที่แล้ว ความหวัง และกำลังใจในชีวิตของเรา มันจะเริ่มกลับคืนมาสู่ชีวิตเรา และเราจะเริ่มเห็นโอกาสว่ามันเปิดรอเราอยู่ตรงหน้านี่เอง แต่ไอ้ความท้อแท้มันมาบังเราซะจนเรามองไม่เห็นโอกาสดีๆ เลย
จงอย่าให้ความท้อแท้ มาทำให้เราท้อถอยนะครับ ชีวิตของเรายังมีโอกาส และความหวังรอเราอยู่เสมอครับ สู้ต่อไปนะครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น