เคยไหมที่บอกกับตัวเองว่า “ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำดีกว่า” หรือ “ไว้พรุ่งนี้ค่อยเริ่มก็ยังทัน” ถามหน่อยว่า พอถึงพรุ่งนี้จริงๆ เราทำตามแผนที่เราวางไว้หรือเปล่า หรือว่า ยังคงใช้คำพูดเดิมอีกว่า “วันนี้ไม่มีเวลาแล้ว ไว้พรุ่งนี้ค่อยทำดีกว่า” แล้วเราก็เริ่มผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งงานของเราไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่เราวางไว้
ลองมาดูเหตุผลที่คนเราถึงชอบผัดวันประกันพรุ่ง
- รักความสบาย ก็คือชอบทำอะไรที่ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องเหนื่อยมาก อะไรที่ต้องทำแล้วเหนื่อยกว่าปกติที่เคยทำ ก็มักจะไม่อยากทำ และเริ่มผัดวันไปเรื่อยๆ จนมันใกล้เส้นตายที่จะต้องส่งงาน ก็มาเริ่มทำ
- ยังไม่มีอารมณ์จะทำ คน บางคนจะทำอะไรต้องมีอารมณ์ทำก่อน จึงจะทำได้ เคยถามว่า แล้วเมื่อไหร่ถึงจะมีอารมณ์จะทำ คำตอบที่ได้มาก็คือ “ของแบบนี้มันบอกไม่ได้หรอก ถึงเวลามันก็มาเอง” สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ไม่เคยเห็นว่าจะถึงเวลานั้นสักที จนกระทั่งถึงเวลาต้องส่งงานเท่านั้นจึงจะลงมือทำ
- ชอบทำอย่างอื่นที่ตัวเองชอบมากกว่า มีงานบางอย่างที่เจ้าตัวไม่อยากทำ และมักจะผัดวันไปเรื่อยๆ ก็คือ งานที่ยาก และไม่ชอบ แต่จะชอบทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก่อน เรื่องอื่นๆ ที่ไม่ชอบไว้ทีหลัง สุดท้ายงานที่ตนเองไม่อยากทำ แต่เป็นงานสำคัญๆ ก็มักจะถูกดอง จนกว่าจะถึงกำหนดส่งงานอีกเช่นกัน
- ยังไม่ถึงกำหนดส่งงานเลย บางคนบอกว่าที่ผัดวันไปเรื่อยๆ ก็เพราะงานที่จะทำนั้นยังอีกนานกว่าจะถึงกำหนดส่ง ดังนั้นตอนนี้ก็ทำอะไรที่มันสบายๆ ไปก่อนดีกว่า ไว้ใกล้ๆ ส่งงานก็ค่อยทำก็ยังทัน
- ไม่รู้เป้าหมายว่าทำไปทำไม หลายคนที่มักจะผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ก็เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองต้องทำนั้น ทำไปทำไม ทำแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเราเอง เราจะได้อะไร พอไม่รู้เป้าหมายของการทำงาน ก็เลยไม่ทำซะเลย รอไปก่อน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ นิสิตและนักศึกษาส่วนใหญ่มักจะเก็บไปทำตอนที่ใกล้ๆ เวลาที่จะต้องส่งรายงาน คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ แต่ละคนหัวฟู เพราะไม่ได้เรียนวิชาเดียว มีรายงานหลายวิชาอีก แถมปลายเทอมแล้วยังต้องอ่านหนังสือสอบอีก ทุกอย่างไม่เสร็จสักอย่าง ต้องนอนดึก อดหลับอดนอน จนบางคนป่วยและไปสอบไม่ได้ ถามว่ามันคุ้มแล้วหรือที่เราจะรักสบายในระยะสั้นๆ แล้วไปลำบากแทบตายในช่วงที่ใกล้ๆ ส่งงาน เสียทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพจิต
ตัวอย่าง ที่ผมชอบมาก็คือ เรื่องของการล้างจาน จานข้าวหรือจานอาหารที่มีคราบอาหารติดอยู่ในจาน ถ้าเราล้างเสียตั้งแต่ทานเสร็จ มันจะล้างออกง่ายกว่าการที่เราเก็บมันไว้ซักสองวันแล้วค่อยมาล้าง จะทำให้เราเปลืองแรง และเปลืองน้ำยาล้างจานมากขึ้น และมีความเสี่ยงต่อการที่จานเราจะไม่สะอาดอีกด้วย
ดังนั้นถ้าเราต้อง การที่จะประสบความสำเร็จใจชีวิต ในการทำงาน หรือการเรียน หรืออะไรก็แล้วแต่ จงวางแผนที่จะทำให้ชัดเจน จากนั้นก็จงลงมือทำเสียตั้งแต่วันนี้ ทำทุกวัน วันละนิดยังดีกว่าการ เก็บไว้รอวันพรุ่งนี้ เพราะคราบแห่งความขี้เกียจมันจะฝังแน่น แล้วเราจะยิ่งลำบากในการเริ่มต้นทำสิ่งนั้นใหม่
ข้อดีอีกประการหนึ่ง ของการลงมือทำก่อนวันละนิดวันละหน่อย ก็คือ ถ้าเราลงมือทำก่อน เราก็จะมีเวลาทำมันมากขึ้น มีเวลาใคร่ครวญ เห็นความผิดพลาด รู้ว่าอะไรถูกต้อง และมองเห็นรายละเอียดต่างๆ มากขึ้น ผลงานที่ออกมาก็จะอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก
แต่ถ้าเราเลื่อนไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลงมือทำตามแผนงานที่เราวางไว้ซักที สุดท้ายพอใกล้ถึงเวลาที่จะต้องส่งงาน สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราก็จะรีบๆ ทำ โดยไม่ได้พิจารณารายละเอียดของงานอย่างชัดเจน มองไม่เห็นความผิดพลาด เพราะกำลังรีบ ลืมประเด็นของงานในบางประเด็นไปอีก ฯลฯ สุดท้ายผลงานที่ออกมาก็อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น และพอเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะแก้ไขอีก เนื่องจากมันถึงเวลาที่ต้องส่งงานแล้ว
สรุปแล้ว คนที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้นั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่ลงมือทำเดี๋ยวนี้ ทำให้จบ ทำให้สำเร็จ ณ ตอนนี้ ไม่ต้องรอถึงพรุ่งนี้ ไม่ว่างานนั้นจะยากซักเพียงใดก็ตาม คนที่ประสบความสำเร็จจะพยายามทำในสิ่งที่ยากก่อน ส่วนงานที่ง่ายๆ ก็ไว้ทำหลังจากงานที่ยากสำเร็จลุล่วงแล้ว ส่วนคนที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ ก็มักจะทำในทางตรงกันข้าม คือ เริ่มสิ่งที่ง่ายๆ ก่อนเพราะมันสบายกว่ากันเยอะเลย ส่วนงานที่ยากๆ ก็ผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้วันต้องส่งงานจึงเริ่มจะทำ ผลก็คืองานนั้นก็จะไม่มีคุณภาพเลย เพราะสักแต่ว่าทำจริงๆ เพื่อให้ทันเวลาเท่านั้น
คนที่ตั้งใจจะออกกำลังกาย ตั้งใจจะเลิกบุหรี่ พอถึงเวลาก็มักจะบอกกับตัวเองว่า ไว้พรุ่งนี้ค่อยเลิก ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปออกกำลังกายก็คงได้ ลักษณะนิสัยแบบนี้จะทำให้เราทำอะไรไม่สำเร็จเลย ดังนั้นจงมีวินัยในตนเอง เมื่อเราตั้งใจจะทำอะไรให้สำเร็จแล้ว จงมีวินัย และนึกถึงผลสำเร็จที่เราจะได้มา เพื่อเป็นกำลังใจที่ดี แล้วลงมือทำตั้งแต่วันนี้ เพราะ “พรุ่งนี้ไม่เคยมาถึง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น