วันนี้ขอเป็นเรื่องเบาๆ สักหน่อยนะครับ เพราะรู้สึกว่าจะเขียนเรื่องหนักๆ มาหลายวันแล้ว เรื่องวันนี้มีที่มาจากการพูดคุยกันกับผู้บริหารระสูงขององค์กรแห่งหนึ่ง ขณะที่รับประทานอาหารกลางวันกัน ผู้บริหารท่านนี้อายุประมาณเกือบ 70 ปี ทำงานมานาน และมีประสบการณ์ในการทำงานมากมาย ทั้งล้มเหลว และประสบความสำเร็จ คำถามที่ผู้บริหารท่านนี้ถามขึ้นในวงอาหารกลางวันก็คือ คนรุ่นใหม่แบบ Gen Y ที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดแรงงาน กับคนรุ่นผู้บริหารก็คือ Baby Boomer อย่างเขานั้น รุ่นไหนที่มี Productivity ในการทำงานมากกว่ากัน
ผมนั่งอยู่ในวง นั่งฟังคำถามแล้วก็นั่งนิ่งฟังท่านผู้บริหารเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง และพอที่จะสรุปประเด็นได้ดังนี้
- ต้องมีความอดทนในการทำงาน ท่านเล่าให้ฟังว่า อดีต เวลาที่ทำงานในบริษัทนั้น เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ยังไม่ทันสมัยเท่าทุกวันนี้ เวลาที่จะต้องทำรายงาน จะต้องใช้วิธีการเขียนร่างลงกระดาษเปล่า จากนั้นก็จะต้องตรวจสอบสิ่งที่เขียนอีกครั้งว่า มีอะไรต้องแก้ไขหรือไม่ เมื่อมั่นใจว่า ถูกต้องทั้งหมดแล้วก็จะส่งร่างนี้ไปให้กับเสมียนพิมพ์ดีด ซึ่งทำหน้าที่พิมพ์ตามร่างที่เขียนไว้ทุกประการ และเครื่องพิมพ์ดีดสมัยก่อนก็ต้องอาศัยแรงนิ้วมือเยอะกว่าคอมพิวเตอร์สมัย นี้มากมาย ใครที่เป็นเสมียนพิมพ์ดีดนั้น จะต้องมีความละเอียดรอบคอบ และจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพื่อจะได้ไม่พิมพ์ผิด เพราะการพิมพ์ผิดนั้นหมายถึงต้องพิมพ์ใหม่ทั้งแผ่น เพราะยุคแรก จะยังไม่มีแผ่นลบคำผิดของพิมพ์ดีด ใช้ยางลบ สิ่งที่พิมพ์ก็จะออกมาไม่สวยงาม ผู้บริหารท่านบอกว่า คนเขียนก็ต้องอดทนนั่งเขียนรายงาน และคิดตลอดเวลา คนที่พิมพ์ดีดก็ต้องอดทนเพราะถ้าพิมพ์ผิดก็ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด บางครั้งพิมพ์มาจนเกือบจะเสร็จแล้ว ดันมาผิดบรรทัดสุดท้ายก็ต้องพิมพ์ใหม่หมด
- ไม่มีสิ่งรอบข้างที่มาดึงความสนใจออกไป ผู้ บริหารท่านนี้เล่าต่อว่า ในอดีตนั้นเวลาทำงาน จะเป็นการทำงานจริงๆ ไม่มีสิ่งรอบข้างมาดึงความสนใจไป ถ้าจะมีอย่างมากก็คือ โทรศัพท์ ซึ่งก็จะไม่คุยกันนาน คุยกันเรื่องงานเรียบร้อยก็จะวางไป ถ้าไม่ได้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อคนอื่น โทรศัพท์นานๆ จะดังสักครั้งหนึ่ง หรือถ้าจะมีอะไรดึงเราออกจากงานก็คือ การนั่งจับกลุ่มคุยกันมากกว่า ซึ่งพอเอาเข้าจริงๆ ก็คุยกันได้ไม่นาน เนื่องจากนายก็อยู่แถวนั้นด้วย ดังนั้นพนักงานทุกคนจะตั้งใจทำงานมาก
- มีสมาธิในการทำงานมาก เป็น ผลต่อเนื่องจากข้อที่แล้ว ว่าพอไม่มีสิ่งไหนมาดึงความสนใจของเราออกไปได้ คนทำงานก็จะมีสมาธิในการทำงานมาก ท่านเล่าต่อว่า สมัยที่ท่านทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัท เวลาทำงานก็ต้องอยู่กับโต๊ะทำงาน ไม่มีคอมพิวเตอร์อะไรเลย อาศัยการเขียนด้วยลายมือมากกว่าการพิมพ์ ดังนั้นเวลาทำงานจะมีสมาธิมาก คนทำงานทั้งออฟฟิศ เวลาที่ทำงานกัน ก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย นั่งเงียบ และใช้สมาธิในการทำงาน คนสมัยก่อนถึงมีลายมือที่สวยเป็นส่วนใหญ่ เพราะต้องจับปากกาเขียนหนังสือกันทุกวัน
- ความอดทนต่ำลง ท่านบอกว่า ด้วยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี อะไรๆ ก็จะได้มาอย่างรวดเร็ว ก็เลยทำให้พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่นั้นมีความอดทนต่ำ รออะไรนานๆ ไม่ได้เลย ไม่เหมือนคนสมัยก่อน ท่านเล่าว่า สมัยหนุ่มๆ เขียนจดหมายหาแฟน กว่าจะเขียนเสร็จกว่าใส่ซอง เดินไปหย่อนที่ตู้จดหมายสีแดง กว่าจดหมายจะถึงมือผู้รับก็ใช้เวลาเกือบสัปดาห์แล้ว กว่าเขาจะตอบส่งกลับมา ใช้เวลารวมๆ แล้วก็ประมาณ สองสัปดาห์ว่าจะได้จดหมายตอบกลับ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ใช่ เพราะทุกอย่างสามารถส่งถึงกันได้ภายในพริบตา ก็เลยทำให้คนเรารอไม่ค่อยจะเป็น บางคนส่งข้อความไปแล้ว แต่ไม่ได้รับคำตอบสักที ก็เลยต้องโทรไปตาม ว่าทำไมยังไม่ตอบกลับ ทั้งๆ ที่เพิ่งส่งไปเมื่อ 1 นาทีที่ผ่านมาเอง
- มีสิ่งรอบข้างมาดึงความสนใจมากมาย ยุค นี้เป็นยุคของเทคโนโลยี ซึ่งทำให้คนเราสามารถติดต่อกันได้อยู่ตลอดเวลา เป็นยุคของ Internet ซึ่งเราสามารถเข้าไปหาข้อมูล หรือนั่งดูข้อมูลไปเรื่อยๆ ทั้งวันโดยไม่รู้ตัว คนในปัจจุบันเองก็มีเครื่องมือติดต่อสื่อสารติดตัวอยู่ตลอด เวลาทำงานก็มักจะถูกสิ่งเหล่านี้ดึงความสนใจออกไปอยู่เสมอ ถ้าใครที่ไม่มีวินัยในตนเองอย่างเข้มแข็งแล้ว ก็มักจะถูกสิ่งรอบข้างมาดึงไป สิ่งที่ท่านผู้บริหารสังเกตเห็นก็คือ พนักงานทำงานที่หน้าคอมพิวเตอร์ ก็สามารถที่จะเปิดโปรแกรมมากกว่า 1 โปรแกรมได้ และมักจะชอบเปลี่ยนไปมาระหว่างโปรแกรมต่างๆ ที่เปิดไว้ เช่น พิมพ์งานไป ยังไม่ทันเสร็จ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า มีคนทักทายผ่าน Line มา ก็เลยต้องเปลี่ยนไปตอบเพื่อนก่อน ตอบไปตอบมา ก็เลยลืมงาน กว่าจะนึกขึ้นมาได้ว่าทำงานอยู่ ก็ผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว นั่งทำงานซักพัก ก็มีโทรศัพท์เข้ามา ก็ต้องตอบ มีอีเมล์เข้ามา ก็ต้องเปิดอ่านและตอบกลับ นึกขึ้นมาได้ว่า อยากอ่านเรื่องย่อละคร ก็เปิดเว็บไซต์อ่านกันก่อน ฯลฯ จะเห็นว่า ระหว่างทำงานนั้น จะมีสิ่งต่างๆ มาดึงดูดและหันเหความสนใจของเราออกจากงานเสมอ ท่านบอกว่าบางครั้งเวลาประชุมงานกับพนักงาน ก็มักจะเห็นพนักงานบางคนหยิบโทรศัพท์มากดๆๆๆๆ ไม่ได้ฟังสิ่งที่กำลังประชุมอยู่ ผลก็คือ หลุด ครับ หลุดทั้งงาน หลุดทั้งสมาธิในการทำงาน และหลุดทั้งผลงานของตนเองด้วย
ผมก็เลยคิดว่า Productivity ถ้าเทียบกับบริบทที่แตกต่างกัน คนรุ่นเดิม กับคนรุ่นใหม่นั้น ไม่น่าจะแตกต่างกัน ถ้าทั้งคู่ใช้เวลาทำงานเหมือนกันนะครับ แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า คนรุ่นใหม่ Productivity ต่ำลงนั้น ก็เนื่องจากการขาดความมุ่งมั่น ขาดสมาธิในการทำงานมากกว่า มักจะถูกหันเหความสนใจด้วยสิ่งอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา เลยทำให้ผลงานไม่ค่อยออกมาให้เห็น ทั้งๆ ที่เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ก็พร้อมที่จะให้สร้างผลงาน
ผมไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะรู้สึกกันอย่างไรบ้างนะครับ ผมเองฟังแล้วเห็นว่าน่าจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น