วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
เวลาพนักงานทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หัวหน้าทำอย่างไร
วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
มองตัวเอง หรือ มองคนอื่นที่ผิด
การใช้ชีวิตของคนเราในทุกวันนี้มีแต่ความยุ่งยาก และซับซ้อนมากขึ้น มีเรื่องราวต่างๆ ให้เราต้องคิด และต้องพิจารณามากขึ้น ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างมาก สามารถย่อโลกใบนี้ให้อยู่ในกำมือเราได้เลย ข้อมูลข่าวสารต่างๆ มีมากมายจนเกินกว่าเราจะรับไหวในแต่ละวัน ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่างเหล่านี้ ทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากเมื่อเทียบกับในอดีต จะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารุ่นพ่อแม่เราจะคิดและทำอีกอย่างหนึ่ง เด็กรุ่นปัจจุบันจะคิดและทำอีกแบบหนึ่ง ซึ่งก็มักจะเกิดความขัดแย้งกันในด้านความคิดและการกระทำเสมอ
โลกปัจจุบันทำให้เรามองตัวเราเองเป็นใหญ่ ยึดตัวเราเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง เราต้องถูก เราต้องดี เราต้องเยี่ยมยอดกว่าคนอื่น การแข่งขันทำให้เราจะต้องดิ้นรน และเอาชนะคนอื่นให้ได้แม้กระทั่งคนในครอบครัวเราเองด้วยซ้ำไป ทำให้คนในยุคปัจจุบันเกิดความเครียดได้ง่ายกว่า โกรธได้เร็วกว่า ตัดสินใจทำให้สิ่งที่ผิดได้เร็วกว่า ไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้นจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราได้เคยเห็นตามข่าวในหน้าหนังพิมพ์ จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ จนถึงขั้นฆ่าแกงกันเลยก็มี ปัจจุบันการจะยิงใครสักคน รู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน
ทั้งหมดทั้งปวงก็เป็นเพราะ เรามองตัวเองเป็นใหญ่ มองตัวเองสำคัญ มองตัวเองถูกทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่เราผิดเลย ผลต่อเนื่องก็คือ เราก็จะมองคนอื่นผิดตลอด ไม่ว่าเขาจะทำถูกสักแค่ไหน ถ้าเรามองว่าผิด เขาก็ต้องผิด เราไม่ค่อยมองว่าตัวเองผิดสักเท่าไหร่
เหมือนในสมัยก่อนที่มีผู้ใหญ่มาสอนเราว่า การที่เราชี้นิ้วไปทีคนอื่น ว่าคนอื่นผิดนั้น นิ้วที่ชี้ไปหาคนอื่นนั้นมีเพียงนิ้วเดียว แต่อีก 4 นิ้วที่เหลือมันชี้กลับมาที่ตัวเอง นั่นเป็นการสอนว่าให้มองตัวเองก่อนที่จะไปกล่าวโทษคนอื่นว่าผิด เด็กสมัยใหม่เวลาจะชี้ว่าคนอื่นผิด ก็เลยเปลี่ยนเป็นการผายมือไปทั้งมือเลยครับ เป็นการบอกไปเลยว่าทั้ง 5 นิ้วชี้ไปที่คนอื่นทั้งหมด ไม่มีนิ้วไหนชี้กลับมาหาเราเลย (คิดได้ไง)
ผมขออนุญาตยกเอานิทานของ คุณประภาส ชลศรานนท์ ที่ได้รวมเล่มไว้ในหนังสือเรื่อง นิทานล้านบรรทัดเล่ม 2 มาให้อ่านกัน เพราะผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันโดนมาก ก็เลยอยากเอามาถ่ายทอดให้คนอื่นได้อ่านกันด้วย อาจจะมีหลายท่านที่ได้เคยอ่านนิทานเรื่องนี้มาแล้ว ก็ลองอ่านอีกสักครั้งนะครับ นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ไม้หันอากาศทั้ง 5” เรื่องมีอยู่ว่า
>>>>>>>>>>>
ฉันเดินทางไปต่อว่าพระเจ้าว่าเหตุใดจึงสร้างพวกเราขึ้นมาให้อยูในโลกอันมืดมิด
พระเจ้าตอบว่า “เราได้ให้ไม้หันอากาศกับมนุษย์ไปแล้ว มนุษย์ไม่ยอมหันมันขึ้นสู่ท้องฟ้าอันงดงามเอง”
ฉันนึกเถียงในใจ พวกเราใช้มันแล้ว มันอยู่ในคนว่า “ฉัน” นี่อย่างไร
พระเจ้าตอบสวนทันที “อย่างนั้นเขาไม่เรียกว่าใช้”
คราวนี้ฉันออกเสียงเถียงออกไปเลย “แต่มันก็ทำให้คำว่า ฉัน เป็นฉัน”
“นั่นอย่างไร มนุษย์ก็เป็นเสียอย่างนี้ เอะอะอะไรก็อ้าง ฉันต้องเป็นฉัน” พระเจ้าส่ายหน้า “เราได้ให้ของวิเศษแก่มนุษย์ไปห้าอย่าง ไม้หันอากาศทั้งห้าที่จะทำให้พวกเจ้าได้มองเห็นท้องฟ้าอันงดงาม”
ขณะที่ฉันกำลังคิดตาม พระเจ้าก็พูดต่อ “ของวิเศษอย่างแรก ฝัน”
“ฝัน” ฉันเริ่มนึกออก ฉันเคยใช้มันบ้างบางครั้ง
“ฝัน ทำให้พวกเจ้ามองเห็นสิ่งที่เจ้ายังไม่มี ได้ยินเสียงในสิ่งที่เจ้ายังไม่เคยได้ยิน ได้เป็นสิ่งที่เจ้ายังไม่ได้เป็น”
พระเจ้าคงเห็นฉันพยักหน้า จึงพูดต่อ “อย่างที่สอง บั่น”
“ท่านหมายถึง บากบั่น” ฉันถาม
“ใช่ พวกเจ้าต้องใช้ไม้หันอากาศตัวนี้เพื่อทำให้สิ่งที่เจ้าฝันเป็นจริง”
พระเจ้ายิ้มแล้วพูดต่อ “ของวิเศษตัวที่สาม ขวัญ”
ฉันคิดตาม “กำลังใจนั่นเอง”
“มันสำคัญมากนะ มันจะทำให้พวกเจ้ามีแรงบากบั่นได้สำเร็จ มันเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องให้กันและกัน”
“ท่านให้พวกเรามา แล้วให้พวกเราให้กันและกันอีกที” ฉันทบทวนความคิด
“เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว” พระเจ้าตอบ
“ของวิเศษอย่างที่สี่ ขัน” พระเจ้าพูดต่อ
“อะไรนะท่าน ขัน” ฉันกำลังคิดเล่นๆ ว่าพระเจ้าคงไม่ได้หมายถึงภาชนะตักน้ำอะไรนั่น
“ฉันหมายถึงอารมณ์ขัน” พระเจ้ายิ้มอีก “เมื่อกี้เจ้ากำลังมีอารมณ์ขัน"
“แล้วอารมณ์ขันเป็นของวิเศษได้อย่างไร” ฉันยังไม่เข้าใจ
“ไม้หันอากาศตัวนี้จะทำให้มนุษย์มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองมี มีความสุขในสิ่งที่ตัวเองเป็นอยู่”
ฉันยิ้ม นึกออกทันที ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน ยากดีมีจนเพียงไร อารมณ์ขันทำให้มนุษย์หาความสุขได้ในสถานะนั้นจริงๆ
“แล้วไม้หันอากาศตัวที่ห้าล่ะ” ฉันถามต่อ
“ปัน” พระเจ้าตอบสั้นๆ
“โลกจะหายจากความมืดมิดเมื่อพวกเจ้าได้สิ่งที่เจ้าอยากมี แล้วแบ่งปันออกไป”.....
ฉันเดินทางกลับจากพระเจ้า โดยลืมถามไปว่าของวิเศษทั้งห้าอย่างที่พระเจ้าให้เรามา ถ้าใช้จนหมดแล้วจะทำอย่างไร แล้วฉันก็ได้ยินเสียงเบาๆ อยู่ในหู
“ไม้หันอากาศทั้งห้านี้ ใช้เท่าไรก็ไม่มีทางหมด หนำซ้ำ ยิ่งใช้ ก็ยิ่งเพิ่ม”
>>>>>>>>>>>>
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ
ไม้หันอากาศทั้งห้าตัวนี้คือ ฝัน บั่น ขวัญ ขัน และ ปัน จะช่วยให้เราลดความเป็นตัวเองลงได้ และมองคนอื่นมากขึ้น ไม่เพียงใช้กับการพัฒนาตัวเราได้แล้ว เรายังสามารถนำมาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะหัวหน้าก็สามารถเอาไปใช้กับลูกน้องของตัวเองได้อีกด้วยนะครับ
ลองเอาไปใช้กันดูนะครับ
วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
พนักงานในองค์กรของคุณมองเห็นเป้าหมายขององค์กรหรือไม่
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
เทคนิคการบริหารเจ้านาย
วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
การเป็นพนักงานที่ดี ต้องทำอย่างไร
องค์กร
ส่วนใหญ่มักจะอบรมแต่เฉพาะพนักงานระดับบังคับบัญชาในเรื่องเกี่ยวกับการเป็น
หัวหน้างานที่ดี หรือการเป็นผู้จัดการที่ดี
แต่ไม่ค่อยมีองค์กรใดที่พยายามจะให้ความรู้
และอบรมพนักงานให้เป็นพนักงานที่ดีสักเท่าไหร่ กล่าวคือ
คนที่เป็นพนักงานเมื่อเข้ามาทำงานแล้ว ก็ผ่านแค่การอบรมปฐมนิเทศน์ เท่านั้น
แล้วก็มักจะเกิดคำบ่นจากบรรดาหัวหน้าทั้งหลายเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกน้องตน
เองว่า ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ (ทางฝ่ายลูกน้องก็บ่นถึงลูกพี่เช่นกัน)
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
ความเชื่อ หรือความจริง ในการคัดเลือกพนักงาน
วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
หัวหน้ามาจากดาวอังคาร ลูกน้องมาจากดาวศุกร์ หรือเปล่า
วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
การปรับค่าจ้างขั้นต่ำกับแรงจูงใจพนักงาน
วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
คำถามที่ไม่มีคำตอบเกี่ยวกับการบริหารบุคคล
ตั้งแต่ผมเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคล ภาวะผู้นำ และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมาสักพักใหญ่ ก็มักจะพบกับคำถามต่างๆ ทางด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ซึ่งมีทั้งที่ตอบได้ และตอบไม่ได้จริงๆ ที่ตอบไม่ได้ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีความรู้เรื่องนั้นๆ แต่เป็นเพราะ เป็นสิ่งที่อาจจะไม่เคยมีใครคิด และไม่เคยมีใครทำมาก่อนก็ได้ ก็เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ลองมาดูคำถามที่ไม่มีคำตอบว่ามีเรื่องอะไรบ้าง เผื่อว่าท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะมีคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ก็เป็นได้ครับ
วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
สิ่งที่พนักงานกลัวเวลาที่บริษัทจะทำโครงสร้างเงินเดือน
เวลาผมไปวางระบบโครงสร้างเงินเดือน และระบบบริหารเงินเดือนให้กับบริษัทลูกค้าต่างๆ ก็จะมีพนักงานกลุ่มหนึ่งที่รู้สึกกลัว และรู้สึกไม่ค่อยมั่นคงกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนี้ในอนาคต เพราะจากเดิมบริษัทไม่เคยมีระบบอะไรมากำหนดเรื่องของโครงสร้างเงินเดือนเลย พอเริ่มจะมีแนวทาง และระบบเข้ามาจับ ก็เริ่มจะมีเสียงบ่น และบางครั้งก็เลยเถิดกันไปถึงการต่อต้านเลยก็มี
การสร้างระบบการทำงานแบบยืดหยุ่น
ปัจจุบันนี้การบริหารบุคคลมีการเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากมาย การบริหารแบบเดิมๆ ที่เน้นกฎระเบียบข้อบังคับอย่างเคร่งครัดนั้น เริ่มใช้ไม่ได้แล้วในยุคปัจจุบัน เนื่องจากความต้องการของพนักงานรุ่นใหม่ๆ นั้นมีความต้องการที่แตกต่างไปจากพนักงานรุ่นเดิมๆ สิ่งที่พนักงานรุ่นใหม่ต้องการในการบริหารบุคคลนั้น ก็คือ “ความยืดหยุ่น” (Workforce Flexibility) ในการบริหารทรัพยากรบุคคลนั่นเอง
คนกับเครื่องจักร คุณให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่ากัน
ในปัจจุบันนี้เกือบทุกองค์กรต่างก็มีคำพูดว่า “เราให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลอย่างที่สุด” แต่ก็มีอีกหลายองค์กรที่เขียนนโยบายที่เน้นความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรบุคคล แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องการบริหารคนสักเท่าไหร่ องค์กรของเราเน้นและให้ความสำคัญกับการบริหารทรัพยากรบุคคลสักแค่ไหน ลองพิจารณาประเด็นเหล่านี้ดูนะครับ
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
รวมบทความเกี่ยวกับการบริหารค่าจ้างเงินเดือน
เนื่องจากปีนี้มีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำแบบก้าวกระโดดมาก และผมเองก็ได้รับคำถามมากมายจากท่านผู้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของการจัดทำ และปรับปรุงโครงสร้างเงินเดือน รวมไปถึงคำถามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารค่าตอบแทนในภาพรวม ผมก็เลยรวบรวมเอาบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของการบริหารค่าจ้างเงินเดือน ทั้งหมดที่ผมได้เขียนไว้ใน blog มารวมไว้ด้วยกัน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และนำเอาไปใช้งานของท่านผู้อ่านด้วยครับ เผื่อจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ
คุณกำลังจะโต หรือกำลังจะตาย
จำได้ว่าผมเคยเขียนเรื่องราวของภาวะผู้นำว่า ผู้นำที่ดีนั้นจะต้องมีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อที่จะเติบโตต่อไปเรื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ใครที่ไม่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็คือ คนที่กำลังถอยหลัง ก็ขอยกคำพูดของ Ken Blanchard มาอีกสักครั้ง เขาเขียนได้จับใจมากครับ
การบริหารค่าจ้างเงินเดือนในปี 2555
ได้รับคำถามมาจากท่านผู้อ่านเยอะเหมือนกันว่า การบริหารค่าจ้างเงินเดือนในปี 2555 หลังจากที่มีการปรับอัตราแรกจ้างใหม่แล้วจะเป็นอย่างไร มีผลกระทบต่อเรื่องการบริหารค่าจ้างเงินเดือนอย่างไรบ้าง จะได้ไปเตรียมการและวางแผนในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนของบริษัทต่อไป
การ ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2555 นี้ เป็นการปรับครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเลยทีเดียวครับ เพราะปรับขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 40% ทีเดียว ซึ่งเป็นอัตราที่สูงเอาการเหมือนกัน เมื่อเทียบกับหลายๆ ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลทำให้นายจ้างหลายแห่ง เริ่มมีปัญหาในการบริหารค่าจ้างเงินเดือน และยิ่งไปกว่านั้น ต้องมีการวางระบบการบริหารทรัพยากรบุคคลกันใหม่เลยทีเดียว เพราะเนื่องจากต้นทุนด้านค่าจ้างสูงขึ้นมาก
สิ่งที่นายจ้างคาดหวังจากพนักงานหลังปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท
เรื่องจริงของการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
ผมได้เขียนเรื่องราวของการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไปหลายมุมมองมาก
พร้อมกับให้สูตรในการคำนวณเพื่อให้มีการปรับที่เป็นธรรมกับพนักงานและบริษัท
เองก็สามารถควบคุมงบประมาณที่ตนเองพอจะมีอยู่ได้ ลองค้นหาดูในบทความเก่าๆ
เกี่ยวกับเรื่องของการบริหารค่าจ้างเงินเดือนนะครับ
แต่สิ่งที่ผมได้รับทราบมาจากหลายๆ บริษัทก็คือ
มีหลายบริษัทที่ใช้วิธีการที่ไม่ค่อยเหมาะสม และทำการปรับโดยไม่ค่อยถูกต้องนัก ทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกไม่เป็นธรรม มีอะไรบ้างลองมาดูกันนะครับ
คำถามที่ได้รับบ่อยเกี่ยวกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)