วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

นิทานสอนใจ หมาแสนรู้


วันศุกร์อีกครั้ง ก็นำเอานิทานดีๆ ที่ให้ข้อคิดมาให้อ่านกันเช่นเคยครับ วันนี้เป็นนิทานที่หาชื่อคนแต่งไม่เจอ แต่อ้างอิงและนำมาจาก ลานธรรมจักร Dhammajak.net ครับ เห็นว่าได้ข้อคิดดี ก็เลยเอามาถ่ายทอดกันต่อครับผม


เจ้าของร้านขายเนื้อสดคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจที่หมาตัวหนึ่งมาที่ร้านโดยในปากมันคาบแบงก์ 10 ดอลลาร์และกระดาษเขียนข้อความว่า

"ขอซื้อไส้กรอก 12 ชิ้นกับขาแกะ 1 ขาครับ"

เขารู้สึก ประทับใจความแสนรู้ของมัน ดังนั้น หลังจากเก็บเงิน 10 ดอลลาร์และเอาไส้กรอกและขาแกะใส่ถุง แขวนที่ปากให้มันคาบไปแล้วเขาจึงตัดสินใจปิดร้านสะกดรอยตามมันไป

หมาตัวนั้นเดินไปตามถนนจนถึงทางม้าลายมันก็วางถุงที่คาบไว้ลงแล้วยืนด้วยขาหลัง และยกขาหน้ากดปุ่มไฟสำหรับคนข้ามถนนแล้วก็คาบถุงต่อ รอจนไฟคนข้ามเขียวมันจึงข้ามไปยังป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่งมันจ้องมองตาราง เวลาเดินรถแล้วนั่งลงตรงที่นั่งรอสักพักมีรถเมล์คันหนึ่งมา

มันเดินไปดูหมายเลขที่ หน้ารถแล้วก็กลับมานั่งรอต่ออีกสักเดี๋ยวก็มีรถเมล์มาอีกคันมันเดินไปดูหมาย เลขรถอีก เมื่อเห็นว่าเป็นสายที่มันรออยู่ มันจึงขึ้นรถเมล์คันนั้น คนขายเนื้อถึงกับอ้าปากค้างทึ่งในความแสนรู้ของมัน แล้วรีบตาม มันขึ้นรถคันนั้นไป

หลังจากรถวิ่งผ่านกลางเมืองออกไปยังชานเมือง เจ้าหมาแสนรู้ก็ลุกจากที่นั่งเดินไปหน้ารถ มันยืนด้วยขาหลังแล้วเอาขาหน้ากดกริ่งบนรถ เมื่อรถจอดมันก็ลงและเดินไปตามถนนจนถึงหน้าบ้านหลังหนึ่งแล้วเลี้ยวเข้าไป คนขายเนื้อยังสะกดรอยตามมันอยู่ห่างๆ เช่นเดิม

เมื่อมาถึงประตูบ้าน ที่ปิดอยู่มันก็วางถุงไส้กรอกที่คาบไว้ลง แล้วถอยหลังมาตั้งหลักประมาณ 2-3 เมตร จากนั้นก็วิ่งเข้าชนประตูเต็มแรง มันพยายามอยู่ 2-3 ครั้งแต่ประตูก็ยังเปิดไม่ออก มันเลยเดินอ้อมตัวบ้านไปที่หน้าต่างบานหนึ่ง ที่ปิดอยู่และเอาหัวโขกที่หน้าต่างหลายครั้ง แล้วก็เดินกลับมารอที่ประตู

สักพักประตูบ้านก็ถูกเปิดโดยเจ้าของหมาเป็นผู้ชายหุ่นล่ำบึ้ก ซึ่งพอเปิดประตูเสร็จเขาก็เริ่มเตะต่อยและตะโกนด่าเจ้าหมาแสนรู้ตัวนั้นทันที

ถึงตอนนี้คนขายเนื้ออดรนทนไม่ไหว เขารีบวิ่งเข้าไปห้าม เจ้าของหมา
พร้อมกับถามว่า "คุณเตะมันทำไมกัน มันเป็นหมาสุดอัจฉริยะเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยถ้าไปออกทีวีต้องดังแน่"

เจ้าของหมาตอบสวนทันทีว่า "คุณว่ามันฉลาดนักเหรอ เชอะ! รู้มั้ยว่านี่เป็นครั้งที่สองในรอบสัปดาห์นี้นะที่มันลืมเอากุญแจบ้านติดตัวไปด้วย"

คติสอนใจจากเรื่องนี้คือ

"เราอาจทำงานได้เกินความคาดหมายในสายตาผู้อื่นแต่ก็ยังทำงานได้ต่ำกว่าเป้าหมายในสายตาของนายเราเสมอ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น