วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ผัดวันประกันพรุ่ง ก็เท่ากับผัดวันที่จะสำเร็จเช่นกัน

procrastination

ทุกคนล้วนแต่เคยผัดวันประกันพรุ่งจริงมั้ยครับ คงมีคนจำนวนน้อยมากที่ไม่เคยผัดวันที่จะทำอะไร เพียงแต่ใครจะเลื่อนมากเลื่อนน้อยเท่านั้น ใครที่มีวินัยในตนเอง และสามารถที่จะบังคับตนเองให้ทำงาน หรือทำอะไรในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเรา ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยชอบทำ คนๆ นั้นก็จะมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่มีวินัยในตนเองน้อยกว่า


มีหลายๆ สำนักเคยศึกษาในเรื่องนี้ว่า ทำไมคนเราถึงชอบผัดวันประกันพรุ่งกันจัง ลองมาดูสาเหตุกันครับ
  • กลัวความล้มเหลว สาเหตุหลักของคนเราที่ชอบเลื่อนมันไปเรื่อยๆ ก็คือ กลัวว่าเริ่มต้นทำแล้วมันจะไม่สำเร็จ ทำไปเดี๋ยวมันก็ล้มเหลว ดังนั้นก็เลยผัดวันออกไปเรื่อยๆ ยังไม่อยากเริ่มต้นทำ เพราะคนเรากลัวความล้มเหลว ก็จะส่งผลให้เราไม่อยากที่จะลงมือทำอะไร สุดท้ายก็เลยเลื่อนมันออกไปเรื่อยๆ
  • ความเชื่อว่าการทำงานแบบไฟล้นก้น จะทำให้งานออกมาดี นี่ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่หลายๆ คนมักจะใช้อ้างกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานในแบบศิลปินหน่อยๆ ต้องแบบว่าอารมณ์มา งานถึงเดิน หรือบางคนก็เชื่อฝังใจว่า ถ้ายังไม่ถึงกำหนดที่จะต้องส่งงาน จะไม่สามารถที่จะคิดอะไรได้เลย ความคิดจะแล่นก็ต่อเมื่องานต้องส่งแล้วเท่านั้น พอเชื่อแบบนี้ ก็เลยผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ ไม่มีการลงมือทำก่อน คนแบบนี้จะเห็นว่า เขาจะเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา และมักจะเป็นคนทีชอบใช้คำว่า “ไม่มีเวลา”
  • เป็นคนแบบ Perfectionist สาเหตุ อีกประการที่ทำให้คนบางคนผัดวันประกันพรุ่งก็คือ การทำงานที่ต้องได้ผลงานแบบสมบูรณ์ที่สุด ถ้าไม่ได้ก็จะไม่ทำ จะต้องรอเวลา และถ้าทำ ก็ต้องทำอย่างดีที่สุด โดยไม่สนใจว่า เวลาจะมีมากหรือน้อยก็ตาม ดังนั้นคนที่เชื่อแบบนี้ จะทำงานแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ผิดก็ต้องแก้ไข และต้องทำให้ดี บางครั้งรู้สึกว่า วันนี้ตนเองยังไม่พร้อมที่จะทำ ก็จะไม่ทำ เพราะกลัวว่างานที่ทำจะออกมาไม่สมบูรณ์นั่นเอง
  • ไม่มีระเบียบในตนเอง สาเหตุ อีกประการหนึ่งก็มาจาก การที่เราไม่มีระเบียบวินัยในตนเอง ไม่สามารถบริหารจัดการชีวิตของตนเองได้ในแต่ละวัน ปล่อยให้ความสบายเข้ามาครอบงำตัวเรา ทำให้พฤติกรรมของเราเปลี่ยนไปจากคนที่เคยขยัน ก็กลายเป็นคนที่รักความสบาย นอกจากนั้นบางคนเป็นพวกที่ไม่ค่อยนิ่ง ไม่ค่อยจดจ่อกับงานที่ทำมากนัก เวลาที่มีอะไรรอบข้างมาดึงความสนใจไป ก็หันไปสนใจเรื่องอื่นแทนที่จะทำงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ ปัจจุบันคนเราเป็นแบบนี้กันเยอะมากขึ้น ก็เนื่องจากเทคโนโลยีต่างๆ เรื่องของ Social Network ที่เข้ามาในชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ผมเคยเห็นพนักงานบางคน นั่งทำงานได้แค่ 5 นาที จากนั้นก็ไปเล่น facebook สักเกือบชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาทำงานอีกสักพัก แล้วก็บอกกับตัวเองว่า คิดไม่ออกเลย ไม่มีสมาธิเลย ไม่มีอารมณ์ทำเลย ฯลฯ จากนั้นก็หันกลับเล่น facebook ใหม่อีก 2 ชั่วโมง สรุปแล้วในหนึ่งวัน เราก็เลยเลื่อน และผัดงานที่เราต้องทำให้สำเร็จออกไปเรื่อยๆ
  • ความรู้สึกหมดหวัง ไม่มีกำลังใจ เหนื่อยล้า สาเหตุ สุดท้ายที่ทำให้เราผัดวันประกันพรุ่งก็คือ การที่เรารู้สึกหมดหวัง หมดแรง หมดกำลังใจ และเหนื่อยล้ามากๆ ซึ่งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราหยุดทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งหมด เพราะใจเราไม่มีแรงที่จะทำ พอใจไม่มีแรง ก็ส่งผลต่อร่างกาย ไม่อยากขยับตัวทำอะไรเลย
สาเหตุทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นสาเหตุใดก็ ตาม ล้วนแต่ทำให้เราไม่ลงมือทำในสิ่งที่ควรจะทำ บางคนรู้นะครับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี รู้ตัวตลอดเวลา แต่ก็ไม่สามารถที่จะดึงตัวเองกลับมาได้ เราลองมาดูวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องของการผัดวันประกันพรุ่งดูกันสักนิด เผื่อจะสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ครับ
  • เป้าหมายในชีวิตต้องชัดเจน และ มีพลังมากๆ วิธีแรกที่น่าจะช่วยได้มากก็คือ เราจะต้องมีเป้าหมายที่เราต้องการจะทำให้สำเร็จ เอาแบบชัดเจนมากๆ ทำให้เห็นภาพกันจะจะ ว่าเราจะต้องทำอะไร แบบไหน อย่างไร และจะต้องประสบความสำเร็จอย่างที่เราตั้งใจนั้นเมื่อไหร่ บางคนเอาภาพความสำเร็จมาแปะไว้ที่โต๊ะทำงาน บางคนก็เขียนเป้าหมายและใส่กรอบรูปตั้งไว้ที่โต๊ะทำงานบ้าง หัวเตียงบ้าง เพื่อเป็นเครื่องมือในการเตือนตัวเองว่า เราจะต้องลงมือทำอะไรบางอย่างทุกวัน เพื่อให้เราไปสู่ความสำเร็จที่เราต้องการ และเมื่อไหร่ที่เรารู้ตัวว่าเรากำลังจะเลื่อนกิจกรรมที่สำคัญๆ ออกไป ก็ให้นึกถึงเป้าหมายของเราไว้ตลอด เพื่อที่จะดึงเอาความตั้งใจกลับมาให้ได้
  • หยุด Social Network สิ่ง ที่มักจะดึงเราออกจากสมาธิ และวินัยในการทำงานก็คือ เรื่องของ Social Network ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook Instagram Line Messenger ฯลฯ ดังนั้นถ้าเราเริ่มลงมือทำอะไรที่สำคัญแล้ว ให้กำหนดเวลาที่จะทำให้แน่นอนลงไป และถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ไม่ให้เปลี่ยนกิจกรรม เช่น ต้องการที่จะอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเป็นเวลา 2 ชั่งโมง ในช่วงเวลานี้ ให้ปิด off line ทุกอย่างให้หมด แล้วเริ่มต้นอ่านหนังสือ โดยเอาเวลาเป็นตัวกำหนด ถ้ายังไม่ถึงสองชั่วโมงตามแผน ก็ห้ามไปทำอย่างอื่น ให้บังคับตัวเองให้ได้ ถ้าไม่ได้ ก็ต้องอาศัยเพื่อนๆที่นั่งอ่านด้วยกันค่อยเตือนกันอีกที ทำแบบนี้ไปสักพัก เราจะเริ่มมีนิสัยใหม่เกิดขึ้น แล้วต่อไป ก็จะไม่ต้องรู้สึกลำบากใจ เพราะเราเริ่มมีอุปนิสัยใหม่ที่ดีขึ้นนั่นเอง
  • หยุดความกลัวทุกอย่าง เรื่อง นี้อาจจะยากหน่อย สำหรับบางคน วิธีการที่พอจะช่วยได้ก็คือ ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วนึกภาพตัวเราเองตอนที่บรรลุเป้าหมายนั้น ภาพต้องชัดมากๆ นะครับ แล้วให้นึกถึงความรู้สึกของเราเองในวันที่เราประสบความสำเร็จในแบบที่เรา ต้องการ ว่าเราจะรู้สึกอย่างไร แล้วก็จำความรู้สึกอันนี้ไว้ให้ดี เพื่อที่จะเอาความรู้สึกนี้ มาหยุดความกลัวที่จะเกิดขึ้นในใจเราให้ได้ นอกจากเรื่องความกลัวแล้ว เรื่องของกำลังใจ เรื่องของอาการหมดแรงที่จะทำอะไร เราก็สามารถใช้วิธีนี้แก้ไขได้เช่นกัน สิ่งที่สำคัญก็คือ ภาพเป้าหมายจะต้องชัดเจน และทำให้เรารู้สึกถึงพลังในการไปถึงมันให้ได้ แต่ถ้าเราทำไปสักพักแล้วเราเริ่มท้อ เริ่มหยุด ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า เป้าหมายที่เรากำหนดไว้นั้นมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ก็คงต้องมานั่งกำหนดเป้าหมายกันใหม่อีกที
  • จงมีสติ สุด ท้ายที่อยากฝากไว้ เพื่อแก้ไขนิสัยผัดวันประกันพรุ่งก็คือ การฝึกสติ เพื่อให้เรารู้ตัวเราเองตลอดเวลา ว่าขณะนี้เรากำลังทำอะไร เรากำลังไม่อยากทำอะไร เรากำลังคิดอะไร หรือไม่ได้คิดอะไร เพื่อที่ว่า เวลาที่เราเริ่มลงมือทำอะไรที่ไม่เป็นไปตามแผน หรือเริ่มที่จะคิดผัดวันไปทำอย่างอื่น สติจะทำให้เรารู้ตัวเอง และสามารถที่จะดึงเรากลับมาให้อยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อให้กิจกรรมที่เราทำในแต่ละวัน ส่งเสริมเป้าหมายของเราในอนาคต สติจะเป็นเครื่องมือที่สร้างวินัยในตนเองให้เราได้มาก เพราะทำให้เรารู้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา รู้ว่าเดี๋ยวเรากำลังจะไปตอบ Line เพื่อน สติก็จะดึงเรากลับมาว่า ให้ทำกิจกรรมนี้ให้เสร็จก่อน เป็นต้น
จริงๆ เคล็ดลับในการแก้ไขนิสัยการผัดวันประกันพรุ่งนั้น มีคนเขียนไว้เยอะมากครับ ลองหาดูใน Internet ได้มากมาย แต่สิ่งที่ผมเขียนให้อ่านนี้ เป็นสิ่งที่พยายามทำให้มันง่ายๆ ไม่ต้องอาศัยเทคนิคอะไรมากมายจนเกินไป ที่สำคัญที่อยากฝากไว้ก็คือ การที่เรายิ่งผัดวันประกันพรุ่ง ก็เท่ากับเรากำลังผัดวันที่เราจะประสบความสำเร็จออกไปเรื่อยๆ นั่นเองครับ

สุดท้ายถ้าเราเข้าใจสาเหตุมันจริงๆ เราก็จะรู้ว่า การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ แก้ได้อยู่ที่เดียวเท่านั้นก็คือ

ที่ใจของเราเองครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น