วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เราเป็นเหมือนช้างที่ถูกล่ามโซ่ไว้หรือเปล่า


เคยคิดแบบนี้หรือไม่ครับ “ผมทำไม่ได้” “ดิฉันทำไม่ได้จริงๆ” หรือ “ยังไงเราก็ทำไม่ได้” คิดในลักษณะที่ว่า เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยพยายามได้ทำเลยด้วยซ้ำ แต่เราก็คิดไปก่อนแล้วว่า เราทำไม่ได้ๆๆๆ ท่านผู้อ่านเคยเป็น หรือเคยคิดแบบนี้บ้างหรือไม่ครับ


จากนิทานเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีพื้นฐานจากความเป็นจริง ก็คือ เรื่องของช้างที่ถูกล่ามโซ่ไว้ จากหนังเรื่อง จะเล่าให้คุณฟัง ของ ฆอร์เฆ่ บูกาย ที่ผู้เขียนได้เล่าเป็นนิทานไว้อย่างน่าสนใจดังนี้

เมื่อยังเป็นเด็ก ผมชอบละครสัตว์มาก และสิ่งที่ผมชอบมากกว่าเพื่อนก็คือ สัตว์ต่างๆ นั่นเอง สัตว์ที่ดึงดูดใจผมได้เป็นพิเศษก็คือช้าง ต่อมาผมก็รู้ว่ามันเป็นสัตว์โปรดของเด็กคนอื่นๆ ด้วย ในระหว่างการแสดง เจ้าตัวใหญ่ยักษ์นี้แสดงให้เห็นถึงน้ำหนัก ขนาด และพละกำลังอันมหาศาลของมัน แต่เมื่อแสดงจบจนถึงเวลาที่จะกลับไปแสดงใหม่อีกครั้งนั้น ขาข้างหนึ่งของมันถูกล่ามโซ่ไว้กับเสาหลัก

อย่างไรก็ตาม เสาต้นนั้นเป็นเพียงท่อนไม้เล็กๆ ตอกลงพื้นเพียงไม่กี่เซนติเมตร แม้โซ่จะใหญ่และทนทาน แต่ผมก็มั่นใจว่า สัตว์ที่ล้มต้นไม้ได้ด้วยแรงของตนเอง ย่อมปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากเสาเล็กๆ นั่น และหนีไปได้แน่ๆ

ผมยังรู้สึกถึงความลี้ลับดังกล่าวจวบจนบัดนี้ อะไรกันแน่ที่เหนี่ยวรั้งมันไว้ ทำไมมันจึงไม่หนีไป

ตอนที่ผมห้าหกขวบ ผมยังเชื่อถือความรู้ของผู้ใหญ่ ผมจึงถามครู ถามพ่อ ถามลุงเกี่ยวกับความลี้ลับข้อนี้ของช้าง บางคนอธิบายให้ผมฟังว่า ช้างไม่หนีเพราะมันถูกฝึกให้เชื่อง

ผมจึงโพล่งถามออกไปว่า ถ้ามันถูกฝึกให้เชื่องแล้ว ทำไมยังต้องล่ามโซ่มันอีก

ผมจำไม่ได้แล้วว่า ได้คำตอบที่ตรงกับคำถามหรือไม่ แต้เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็ลืมเรื่องความลี้ลับของช้าง และเรื่องเสานั่น จะนึกได้ก็ตอนเจอคนอื่นๆ ซึ่งเคยตั้งคำถามเดียวกันนี้ด้วย

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ผมโชคดีได้เจอกับคนฉลาดคนหนึ่ง ซึ่งพอจะตอบคำถามนี้ได้ เขาตอบว่า

ที่ช้างละครสัตว์ไม่หนี เพราะมันถูกล่ามกับเสาคล้ายๆ กันตั้งแต่ยังเล็ก

ผมหลับตา นึกภาพช้างแรกเกิดที่ไม่มีทางสู้ ถูกผูกไว้กับเสา ผมแน่ใจว่าตอนนั้น ช้างตัวน้อยจะต้องทั้งผลัก ทั้งดึงจนเหงื่อท่วมเพื่อดิ้นรนให้ตัวเองเป็นอิสระ แม้มันจะพยายามเพียงใดก็ไม่สำเร็จ เสาต้นนั้นแข็งแกร่งเกินไปสำหรับมัน ผมนึกภาพมันนอนหมดแรง และวันต่อมามันก็ลองพยายามอีก วันแล้ววันเล่า กระทั่งวันหนึ่ง วันที่เลวร้ายที่สุดของชีวิต เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็ยอมรับความอ่อนแอของตน และปลงใจในชะตาชีวิต

ช้างตัวใหญ่ยักษ์มีแรงมหาศาลที่เราเห็นในคณะละครสัตว์ไม่ยอมหนี เพราะเจ้าสัตว์น่าสงสารนั้นคิดว่าหนีไม่ได้

มันยังคงจำความอ่อนแอไร้กำลังที่รู้สึกหลังลืมตาดูโลกไม่นานได้ฝังใจ สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือ มันไม่เคยกลับไปตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความทรงจำนั้นอย่างจริงจังอีกเลย มันไม่เคยทดสอบกำลังของตนเองอีกเลย ไม่เคยเลย

อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ เราเองเป็นเหมือนช้างตัวนั้นหรือเปล่า เรากำลังเดินชีวิตด้วยความคิดที่ว่า เราทำอะไรต่ออะไรไม่ได้ เพียงแค่ครั้งหนึ่งนานมาแล้วเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก เราเคยพยายาม แต่ไม่สำเร็จ เราจึงทำตัวเหมือนช้างตัวนั้น และฝังหัวเราเองว่า ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ และไม่มีวันจะทำได้ หรือเปล่า??

นั่นก็แปลว่า เรากำลังถูกโซ่ซึ่งแทบจะไม่มีพลังอะไรเลยรั้งเราไว้ และทำให้เราซึ่งจริงๆ แล้วมีพลังมากมายที่จะทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จได้นั่น กลับกลายเป็นไม่สามารถทำอะไรให้กับชีวิตเราได้เลย แค่เพียงคิดว่า ฉันทำไม่ได้แน่ๆ

ดังนั้นอย่าตีกรอบให้กับตัวเองด้วยความคิดที่อาจจะ ไม่เป็นจริงแล้วก็ได้ ทางเดียวที่จะรู้ได้ว่าเราสามารถทำสิ่งนั้นได้หรือไม่ ก็คือ ลงมือลองทำอีกที โดยทุ่มแรงใจ แรงกายทั้งหมดที่มี ทำมันอีกครั้งหนึ่ง

แล้วเราจะรู้ว่า มันง่ายกว่าที่เราคิดไว้มากมาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น