วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

นิทานสอนใจ คนเฝ้าประตูซ่อง

success concept

วันนี้เป็นวันศุกร์สุดท้ายของปี 2557 แล้วนะครับ อีก 1 ปีกำลังจะผ่านไป ก็เลยเอานิทานอ่านสบายๆ มาให้อ่านกัน จะได้ไม่ต้องเครียดกับเรื่องของแนวคิดหลักการในการบริหารทรัพยากรบุคคลมาก นัก ไว้ปีหน้าค่อยมาว่ากันใหม่ในเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคล นิทานวันนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมชอบมาก อาจจะยาวหน่อยนะครับ แต่ก็ให้ข้อคิดที่ดีทีเดียวครับ


มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไม่มีอาชีพใดที่จะถูกดูถูกดูแคลน และได้ค่าจ้างน้อยมากๆ เท่ากับอาชีพคนเฝ้าประตูซ่องอีกแล้ว มีชายคนหนึ่ง ประกอบอาชีพเป็นคนเฝ้าประตูซ่องแห่งนี้ เขาไม่เคยที่จะเรียนหนังสืออะไรเลย อ่านหนังสือก็ไม่ออก เขียนหนังสือก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่เคยทำงานอะไรอื่นนอกจากงานนี้ ซึ่งงานนี้เขาได้มาก็เนื่องจากก่อนหน้านี้ พ่อ และปู่ของเขาก็ทำงานนี้ ก็เลยสืบทอดต่อๆ กันมาจนถึงรุ่นของเขา

วันหนึ่งเจ้าของซ่องคนเก่าเสีย ชีวิตลง กิจการก็เลยสืบต่อมาที่ลูกชาย ผู้ที่มีความกระตือรือร้น และมีความคิดสร้างสรรค์มากมาย เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงห้องใหม่ และตั้งกฎเกณฑ์และวิธีการทำงานแบบใหม่ๆ และเขาก็เรียกคนเฝ้าประตูมามอบหมายงานโดยบอกว่า

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป นอกจากเฝ้าประตูแล้ว เจ้าต้องทำรายงานประจำสัปดาห์ให้ข้าด้วย ต้องจดบันทึกว่ามีคนเข้ามาใช้บริการเท่าไหร่ในแต่ละวัน และทุกๆ คนที่ 5 ของคนที่มาใช้บริการ เจ้าจะต้องสอบถามถึงความพึงพอใจของเขา จากนั้นก็ต้องทำรายงานสรุปเสนอให้ข้าทุกๆ สัปดาห์”

แต่เนื่องจากคนเฝ้าประตูไม่เคยเรียนหนังสือ ก็เลยไม่สามารถทำงานนี้ได้ จึงบอกกับเจ้าของว่า “ข้าไม่สามารถทำงานนี้ได้ เพราะข้าไม่เคยเรียนหนังสือเลย แต่ข้าก็ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเฝ้าประตู”

แต่เจ้าของคนใหม่ไม่พอใจ จึงไล่พนักงานคนนี้ออก พร้อมกับจ่ายค่าตอบแทนให้จำนวนหนึ่งไป ชายผู้นี้รู้สึกเศร้าใจอย่างมาก รู้สึกเหมือนกับโลกกำลังพังใส่ตัวเขา แล้วเขาจะทำอะไรดีล่ะทีนี้

เขาจำได้ว่า ทุกครั้งที่ของใช้ในบ้าน เช่นตู้ เตียง โต๊ะ เครื่องใช้ต่างๆ เกิดชำรุดเสียหาย เขาก็สามารถซ่อมมันได้ด้วยวิธีง่ายๆ โดยอาศัยค้อนกับตะปู ซึ่งเขาเองก็คิดว่านี่น่าจะเป็นอาชีพใหม่ที่พอจะรับจ้างชาวบ้านที่ต้องการ ซ่อมแซมสิ่งของได้

เขาก็เลยพยายามไปค้นหาค้อนกับตะปู แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ จึงพยายามจะไปหาซื้อด้วยเงินที่ได้รับมา แต่ก็คิดได้ว่า ในหมู่บ้านนี้ไม่มีร้านขายอุปกรณ์เหล่านี้เลย ชายคนนี้ก็เลยตัดสินใจเดินทางไปหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดที่มีขายอุปกรณ์ช่าง ซึ่งต้องใช้เวลาถึงสองวัน แต่เขาก็ตัดสินใจไป เพื่อให้ได้มาซึ่งอุปกรณ์ในการทำงาน

เขากลับมาพร้อมกับอุปกรณ์ช่างที่ ทำงานได้ แต่ยังไม่ทันจะถอดรองเท้า ก็มีเพื่อนบ้านเดินเข้ามาสอบถามว่า มีอุปกรณ์ช่างให้ยืมหรือไม่ ชายคนนั้นก็ตอบว่า “มี ข้าเพิ่งไปซื้อมา แต่ข้าต้องใช้ทำงาน”

“ถ้าอย่างนั้นข้อยืมหน่อย พรุ่งนี้จะรีบคืนให้เลย เพราะวันนี้เจ้าคงไม่ได้ทำงานอะไร” เพื่อนบ้านเอ่ยปากขอยืมไป

แต่พอถึงวันรุ่งขึ้นเพื่อนบ้านก็เดินมาและบอกว่า “ข้าจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ต่อ เจ้าจะขายให้ข้าได้หรือ
ไม่”

ชายเฝ้าประตูตอบว่า “ไม่ได้หรอก เพราะข้าต้องใช้ทำงาน และอีกอย่างข้าก็เดินทางถึงสองวันกว่าจะได้อุปกรณ์นี้มาทำงาน”

เพื่อนบ้านก็ต่อรองว่า “ถ้า งั้นเรามาตกลงกันดีกว่า ข้าจะจ่ายค่าเดินทางไปกลับให้เจ้า พร้อมกับค่าค้อนด้วย ยังไงตอนนี้เจ้าก็ไม่มีงานทำอยู่แล้วนี่ แล้วเจ้าก็เดินทางไปซื้อใหม่ก็ได้”

ชายเฝ้าประตูก็ตอบ ตกลงไป เพราะคิดว่าก็ไม่มีอะไรเสียหาย ก็เลยออกเดินทางไปซื้ออุปกรณ์ชุดใหม่ พอกลับมาได้ไม่นาน ก็มีเพื่อนบ้านอีกคนมาเคาะประตูบ้าน พร้อมกับบอกว่า ข้าเองก็จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เหล่านี้ และข้ายินดีที่จะซื้อจากเจ้าพร้อมกับจ่ายค่าเดินทางให้ด้วย เพราะในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครที่อยากจะเดินทางไปกลับสี่วัน เพื่อไปซื้ออุปกรณ์ในอีกหมู่บ้าน พูดแล้วก็เลือกอุปกรณ์และจ่ายเงินให้กับชายเฝ้าประตู

ประโยคที่ชายเฝ้าประตูจำได้แม่นก็คือ “ไม่มีใครที่อยากเดินทางถึงสี่วัน เพื่อไปซื้ออุปกรณ์”

ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็แสดงว่าจะต้องมีคนที่อยากให้เขาเดินทางไปซื้อเครื่องไม้เครื่องมือ และในการเดินทางครั้งต่อไป เขาจึงตัดสินใจเสี่ยงโดยใช้เงินมากขึ้นในการซื้ออุปกรณ์เข้ามาเพิ่มเติมจาก เดิมเพื่อที่จะขายให้กับเพื่อนบ้านได้ โดยจะได้ประหยัดเวลา และซื้อเยอะก็ยังได้ส่วนลดจากการซื้ออีกด้วย

สุดท้ายชาวบ้านบางคนก็ เลิกเดินทางเอง และหันมาซื้อจากชายคนนี้ จนตอนนี้เขากลายเป็นคนขายอุปกรณ์ช่าง และเดินทางทุกสัปดาห์เพื่อไปซื้อของ จากนั้นเขาก็เกิดความคิดว่า ถ้าเขามีสถานที่เก็บเครื่องมือเหล่านี้ได้มากขึ้นก็จะดี เพราะจะประหยัดเวลาเดินทาง และมีรายได้มากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเช่าสถานที่แห่งหนึ่ง จากนั้นก็ได้ขยายโกดังเก็บของ และเพิ่มตู้โชว์หน้าร้าน สุดท้ายก็กลายเป็นร้ายขายอุปกรณ์ต่างๆ ในหมู่บ้านเป็นแห่งแรก

ทุกคนในหมู่บ้านก็มาซื้ออุปกรณ์ที่ร้านของเขา กันถ้วนหน้า และตอนนี้เขาเองก็ไม่ต้องเดินทางแล้ว เพราะผู้ขายเอาสินค้ามาส่งเองเนื่องจากเขาเป็นลูกค้าที่ดี

ต่อมาเขา นึกได้ว่า เพื่อนของเขาในหมู่บ้านนี้ สามารถที่จะผลิตหัวค้อน ตะปู คีมต่างๆ ได้ ทำไมถึงไม่ผลิตเอง จะได้ไม่ต้องไปซื้อจากที่อื่น ฯลฯ สุดท้ายชายผู้นี้ก็กลายเป็นเศรษฐีผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ช่าง จนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในหมู่บ้าน และได้บริจาคเงินเพื่อสร้างโรงเรียน โดยมีนายกเทศมนตรีมาเปิดงาน

ซึ่งท่านนายกก็ได้ขอให้ชายคนนี้ร่วมลงนามในการบริจาค ในสมุดลงนามหน้าแรกของโรงเรียน ซึ่งชายคนนี้ก็บอกว่า “ผมอยากลงนามให้จริงๆ ครับ แต่ผมเขียนหนังสือไม่ได้เลย ต้องขออภัยด้วย”

ท่านนายกเทศมนตรีก็แปลกใจ และเอ่ยว่า “คุณ สร้างอาณาจักรใหญ่โตได้ขนาดนี้ โดยที่ไม่รู้หนังสือเลยสักตัว มันช่างยอดเยี่ยมจริงๆ นี่ถ้าคุณรู้หนังสือ คุณจะทำอะไรได้มากมายกว่านี้สักแค่ไหนกัน”

“ผมตอบคุณได้” ชายเฝ้าประตูตอบ “ หากผมอ่านออกเขียนได้ ผมคงเป็นแค่คนเฝ้าประตูซ่อง!”

จากหนังสือเรื่อง จะเล่าให้คุณฟัง ของ ฆอร์เฆ่ บูกาย แปลโดย เพ็ญพิสาข์ ศรีวรนารถ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น