วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ฝันให้ไกล แล้วอย่าลืมหาทางไปให้ถึงฝันนั้นด้วย


วันศุกร์เวียนมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ละสัปดาห์ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว นี่อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะหมดปี 2557 แล้ว ลองตรวจสอบความฝันของเราดูหรือยังครับ ว่าเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ เราวาดฝันไว้ว่าอะไรบ้าง เรามีเป้าหมายชีวิต การทำงาน การเรียน ฯลฯ อย่างไรบ้าง แล้วตอนนี้ผ่านไปแล้ว 11 เดือน จะครบปีแล้ว เราไปถึงความฝันและเป้าหมายที่เรากำหนดไว้นั้นแล้วหรือยัง


เราไม่ผิดที่จะฝัน แต่สิ่งที่สำคัญตามมาก็คือ ฝันแล้วอย่าหยุดแค่ฝัน แต่ต้องทำฝันนั้นให้เป็นจริงขึ้นมาให้ได้ มิฉะนั้น ความฝันก็ยังคงเป็นเพียงแค่ความฝันอยู่ดี เราจะหลงติดกับภาพความฝันอันสวยหรู หรือจะเริ่มต้นลงมือทำฝันให้เป็นจริงๆ เพื่อที่เวลาเราลืมตาขึ้นมา ก็จะเจอภาพแบบเดียวกับที่เราฝันไว้

ลองดูเรื่องราวของบุคคลผู้นี้ ซึ่งผมอ่านจากหนังสือชื่อว่า “คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย” เขียนโดย รวิศ หาญอุตสาหะ ได้นำเอาเรื่องราวของคนผู้นี้มาเล่าได้อย่างน่าสนใจ ดังนี้ครับ

ที่ชานเมืองฉางโจว ปี 1940

เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังมองดูหมู่บ้านที่เขาอยู่เป็นครั้งสุดท้าย ขณะที่ครอบครัวของเขากำลังเร่งรีบเก็บทรัพย์สินภายในบ้านเล็กๆ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมายไปกว่าเครื่องนอน และเครื่องใช้สำหรับหุงหาอาหาร
ครอบ ครัวของเด็กน้อยคนนี้กำลังลี้ภัยสงครามจากการบุกรุกของทหารญี่ปุ่น พ่อของเขาข้ามฝั่งทะเลมาจนถึงเกาะฮ่องกงได้สำเร็จ แต่โชคชะตาก็เล่นตลก พ่อของหนูน้อยคนนี้เป็นวัณโรคและเสียชีวิตไปตอนเขาอายุ 15 ปี เขาร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด วันนั้นเองเขาถามตัวเองว่า

“มันเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์จะเอาชนะโชคชะตาของตัวเอง”

เขาต้องลาออกจากโรงเรียนทันที เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงน้องชาย และน้องสาว เขาทำงานเป็นเซลล์ของโรงงานพลาสติก ด้วยความที่เป็นคนขยันทำงานหนักเกินหน้าที่เสมอ โดยเฉลี่ยเขาทำงานถึงวันละ 16-20 ชั่วโมง เพราะเหตุนี้เองเขาจึงได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้จัดการโรงงานตั้งแต่อายุ ยังไม่ถึง 20 ปี
แม้จะทำงานหนักเพียงใด เขาจะตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือ หาความรู้ให้ตัวเองตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน และเนื่องจากเขามีเงินไม่มากนัก จึงใช้วิธีซื้อหนังสือทีละเล่มแล้วขายออกไปเมื่ออ่านจบ เพื่อเอาเงินมาเป็นทุนในการซื้อเล่มต่อไป นิสัยรักการอ่านของเขาเป็นที่เลื่องลือในหมู่เพื่อนที่ทำงานมาก

ไม่กี่ปีถัดมา เมื่อเก็บหอมรอมริบเงินได้ 7,000 เหรียญ เขาก็ขอลาออก เพื่อไปทำกิจการของตัวเอง เป็นโรงงานพลาสติกเล็กๆ ที่ทำดอกไม้พลาสติกส่งออก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้กับโรงงานแห่งนี้อย่างเต็มกำลัง

เขามีปรัชญาในการทำธุรกิจที่ยึดมั่นเสมอมาว่า

“การทำธุรกิจอยู่บนความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือ ต้องทำให้ลูกค้าไว้วางใจเราให้มากที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใด ต้องปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้อย่างถึงที่สุด แม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”

ด้วยความมีวิสัยทัศน์ และทำงานหนัก เขาขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาหาร ค้าปลีก สื่อสาร และอื่นๆ

เรารู้จักเขาในนามมังกรแห่งฮ่องกง “ลีกาชิง” บุรุษผู้ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ครอบครัวของเขามีทรัพย์สินรวมกันประมาณหนึ่งล้านล้านบาท และเขายังเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ ที่บริจาคเงินกว่า 20,000 ล้านบาทเพื่อการกุศลอีกด้วย

เมื่อมีคนถามเขาว่า โชคชะตาทำให้เขามาถึงจุดนี้หรือเปล่า เขาตอบอย่างเรียบง่ายว่า

“ผมไม่ได้โชคดีหรอก แต่ผมทำงานหนัก เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้กับตัวเอง”

ดังนั้นอย่าลืมนะครับ เมื่อเรามีความฝันแล้ว อย่าลืมทำฝันนั้นให้เป็นจริงด้วย โดยการขยันทำในสิ่งที่เอื้อให้ฝันเราเป็นจริงๆได้ โดยห้ามมีข้ออ้างอะไรมากนัก เพราะคนที่ประสบความสำเร็จนั้น เขาลงมือทำ และไม่ยอมเสียเวลาสักนาทีทำในสิ่งที่ไม่ตรงกับความฝันของตนเอง

แล้วคุณล่ะครับ ฝันแล้ว ลงมือทำแล้วหรือยัง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น