เมื่อพูดถึงทรัพยากรบุคคล ก็มักจะเป็นสิ่งที่ผู้บริหารหลายๆ คนบอกกับเราว่า เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด เราขาดคนไม่ได้เลย เพราะจะทำให้งานของเรามีปัญหาทันที ก็เลยทำให้แนวโน้มของการบริหารทรัพยากรบุคคลในบ้านเรานั้นสำคัญขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่างไรก็ดี การที่ผู้บริหารกล่าวว่าเราจะให้ความสำคัญกับทรัพยากรบุคคลนั้น ต้องมาพิจารณาในทางปฏิบัติด้วยว่า สิ่งที่พูด กับสิ่งที่ทำนั้นไปด้วยกันสักแค่ไหน ลองอ่านเหตุการณ์ต่อไปนี้ดูนะครับ แล้วท่านคิดอย่างไร
- เวลาขอรับสมัครพนักงานใหม่ ปกติเราก็อยากได้คนที่เก่ง และมีฝีมือ และพร้อมที่จะพัฒนาไปกับองค์กรของเรา แต่พอถึงเวลาสรรหาและคัดเลือกคนได้แล้ว นำไปให้ผู้บริหารพิจารณาว่าจะเอาใครดี สิ่งที่ผู้บริหารพิจารณาเป็นสิ่งแรกก็คือ คนไหนที่เรียกเงินเดือนต่ำกว่า ก็น่าจะเข้าข่ายได้รับการพิจารณาไว้ก่อน โดยไม่มองเลยว่า ใครที่เก่งกว่า เหมาะสมกว่า หรือใครที่จะเข้ามาพัฒนาองค์กรของเราได้ดีกว่า มองเพียงแต่ว่าเอาใครก็ได้ให้เข้ามาทำงานโดยจ่ายเงินเดือนน้อยที่สุดเท่าที่ จะทำได้
- ผู้บริหารบอกไว้ว่า อยากได้คนเก่งๆ เข้ามาทำงาน โดยวางเป้าหมายว่าจะสรรหาและคัดเลือกเอาเด็กจบใหม่ที่มีฝีมือ และตั้งใจทำงานเข้ามาฝึกฝนเพื่อให้พัฒนาไปพร้อมกับบริษัท แต่พอถึงเวลาที่สรรหาเด็กกลุ่มนี้เข้ามาได้แล้ว ผู้บริหารกลับไม่เลือกเลยสักคน เพราะแต่ละคนขอเงินเดือนเกินกว่าที่ผู้บริหารตั้งใจจะให้ เรียกว่าพอเห็นตัวเลขเงินเดือนที่ขอมาก็อึ้งกันไปตามๆ กัน ก็เลยเปลี่ยนความคิดว่า “งั้นก็กลับไปรับเด็กที่ยอมรับเงินเดือนที่เราเสนอดีกว่า”
- ฝ่ายบุคคลนำเสนอแนวทางในการพัฒนาพนักงาน เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงได้แจ้งและให้นโยบายไว้ว่าจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงาน โดยให้ฝ่ายบุคคลไปกำหนดแนวทางและเส้นทางการฝึกอบรมและกำหนดหลักสูตรฝึกอบรมขึ้นมา เพื่อพัฒนาทักษะและฝืมือของพนักงานให้มีความรู้ความสามารถมากขึ้น แต่พอถึงเวลาจะเริ่มอบรม ผู้บริหารกลับบอกว่า “ฝึกอบรมไปทำไม ตอนนี้งานเยอะมาก เอาไว้ก่อนดีกว่า ให้พนักงานทำงานหาเงินเข้าบริษัทไว้ก่อน น้ำขึ้นให้รีบตัก”
- พอถึงเวลาที่งานซาลง เศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีนัก รายได้ที่เคยเข้ามา ก็ลดน้อยลงกว่าเดิม ฝ่ายบุคคลและหัวหน้างานต่างๆ ก็มองเห็นว่าช่วงนี้งานน้อย ก็น่าจะจัดให้มีการเพิ่มพูนความรู้และทักษะให้กับพนักงาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับกรณีที่งานเข้ามาในอนาคต ผู้บริหารก็บอกว่า “ตอนนี้อย่าเพิ่งเลย เพราะเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เรื่องฝึกอบรมเอาไว้ตอนที่มีเงิน และเศรษฐกิจดีๆ ก่อนดีกว่า เราค่อยลุยกันดีมั้ยครับ” (แต่พอเศรษฐกิจดีขึ้นมา ก็กลับมองว่าเป็นช่วงของการรีบหารายได้ดังนั้นการอบรมเอาไว้ก่อน ตกลงจะเอายังไง)
- ผู้บริหารให้นโยบายเรื่องค่าจ้างเงินเดือนของบริษัทต้องอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ พอฝ่ายบุคคลทำการสำรวจค่าจ้างเงินเดือน และทำการเปรียบเทียบอัตราค่าจ้างเงินเดือนของบริษัทกับตลาดอย่างละเอียดแล้ว พบกว่า เงินเดือนของบริษัทอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาด ก็เลยเสนอให้มีการปรับปรุงการจ่ายเงินเดือนให้ทัดเทียมกับตลาด พอผู้บริหารได้ยินเข้าก็บอกว่า “ผมว่าเราจ่ายดีกว่าตลาดอยู่แล้วนะ ไม่งั้นเราก็คงอยู่มาไม่ได้ถึงป่านนี้หรอก คุณไปเอาข้อมูลมาจากไหน ใช้ได้จริงหรอ ผมว่า เขาให้ข้อมูลคุณมาผิด ๆ นะ คราวหน้าไม่ต้องไปทำมันแล้วไอ้ Survey น่ะ สิ้นเปลืองงบประมาณของบริษัท เอาเงินไปทำอย่างอื่นน่าจะคุ้มกว่านะ”
- บริษัทมีนโยบายจะว่าจ้างวิศวกรจบใหม่มือดีเข้ามาเพื่อลุยงานของบริษัท แต่สัมภาษณ์ทีไรก็ไม่ได้คนทุกที มีแต่คนปฏิเสธไม่ยอมทำงานด้วยเลย พอไปหาสาเหตุก็พบว่า บริษัทจ่ายอัตราแรกจ้างให้กับวิศวกรจบใหม่ในระดับปริญญาตรีเป็นเงิน 15,000 บาท พอฝ่ายบุคคลนำเสนอว่า อัตราเริ่มจ้างปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์จะต้องปรับเป็น 18,000 บาทตามอัตราของตลาดที่แข่งขันอยู่ ผู้บริหารก็บอกว่า “โห 18,000 บาทมันสูงเกินไป อัตราเดิมที่ให้ไว้ ผมว่ายังจ้างได้นะ คุณไปหาคนถูกแหล่งหรือเปล่า ไม่ใช่หาคนไม่ได้ แล้วก็เอะอะจะขอปรับอัตราเงินเดือนร่ำไป”
- “ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจไม่ดีในปีนี้ ทำให้บริษัทของเราประสบกับภาวะขาดทุน ดังที่พวกเราได้เห็นแล้วว่า เราขายแทบไม่ได้เลย ฝ่ายบริหารก็เลยอยากขอความร่วมมือจากพนักงานทุกคนลดเงินเดือนของพวกเราลงอีก 30% เพื่อให้บริษัทสามารถอยู่รอดต่อไปได้ในระยะนี้” พนักงานเองก็ยอมรับ เพราะดีกว่าต้องตกงาน แต่มาพบกับความจริงภายหลังว่า ระดับบริหารของบริษัทประมาณ 15 คน ยังคงได้รับเงินเดือนเท่าเดิม แถมยังมีข่าวแว่วๆ มาว่า จะมีการให้โบนัสสำหรับผู้บริหารด้วยในปีนี้ แล้วพนักงานจะรู้สึกอย่างไร
- “บริษัทของเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาพนักงานภายในของเรา เราจะมองหาพนักงานภายในของเราก่อนที่จะไปรับสมัครพนักงานจากภายนอกเข้ามาทำ งาน” ผู้บริหารระดับสูงประกาศกร้าว (อีกแล้ว) แต่พอถึงเวลาที่ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดเกษียณอายุไป พนักงานมือดีที่เคยได้รับการทาบทามไว้ ก็คิดว่าตนเองคงจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไป แต่ที่ไหนได้ ผู้บริหารระดับสูงไปรับเอาพนักงานเข้ามาจากภายนอกมาดำรงตำแหน่งนี้แทนแถมยัง เป็นญาติกับผู้บริหารซะด้วย (ผมว่าพนักงานทุกคนคงจะรู้สึกถึงความไม่มั่นคงแน่นอน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม)
แล้วองค์กรจะเหลืออะไร ฝากไว้ให้คิดกันเล่นๆ ช่วงสุดสัปดาห์ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น