ปัจจุบันนี้ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้เวลาจะทำอะไรก็เร็วขึ้น ไม่ต้องรอเหมือนสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งจดหมาย ซึ่งในอดีตนั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆ 7 วันกว่าจะได้รับคำตอบกลับมาจากจดหมายที่เราเขียนไป แต่ปัจจุบันเราสามารถส่งข้อความหรือจดหมายไปกลับโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึง 5 นาที
หรือในอดีตที่ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือใช้กันอย่างแพร่หลายเหมือนในปัจจุบันนั้น บางคนไม่มีโทรศัพท์ที่บ้าน การที่จะโทรหาเพื่อน หรือโทรหาคนรักนั้น ต้องเดินออกไปใช้โทรศัพท์สาธารณะ แถมยังต้องรอคิวอันยาวเหยียดเพราะในซอยมีอยู่แค่เครื่องเดียว แต่เราก็รอกันได้ โดยไม่ค่อยรู้สึกอะไรมากนัก
หรือในกรณีที่เรานัดหมายเพื่อนเจอกันในอดีต ไม่มีใครมีโทรศัพท์มือถือ เราก็ต้องนั่งรอกันจนครบ ใครมาสายก็โดนด่ากันไป เพราะทำให้คนอื่นต้องมานั่งเสียเวลารอ
หรือเวลาที่เราต้องการสืบค้นข้อมูลเพื่อทำรายงานกันในสมัยก่อนนั้น ใครที่ตอนนี้อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป คงจำกันได้ว่าเราต้องนัดกันไปตามห้องสมุดของมหาวิทยาลัย หรือไม่ก็หอสมุดแห่งชาติกันเลย เพื่อที่จะไปสืบค้นหาข้อมูลในการทำรายงาน ซึ่งเราก็เข้าใจและไม่รีบร้อนอะไร ก็เดินทางกันไปว่าจะไปถึง กว่าจะเจอข้อมูลก็ใช้เวลากันเป็นวันๆ แต่เราก็ทำกันได้โดยไม่รู้สึกอะไร
แต่ในปัจจุบันนี้ อะไรๆ มันก็เปลี่ยนแปลงไป แถมเปลี่ยนอย่างเร็วด้วย ก็เลยทำให้คนเราอาจจะมีความอดทนน้อยลง เพราะเรารู้สึกว่าเราได้อะไรๆ มาอย่างรวดเร็ว เมล์ก็รับส่งได้อย่างรวดเร็วทันใจ โทรศัพท์ก็มีติดตัวกันทุกคน เวลาไปไหนมาไหน ก็ไม่ต้องนั่งรอกันอีกต่อไป แค่โทรบอกว่าตอนนี้อยู่ไหนแล้ว คนที่รอก็ไปทำอย่างอื่นกันก่อนได้ หรือเวลาจะหาข้อมูลก็นั่งอยู่ที่โต๊ะเปิดคอมพิวเตอร์ต่ออินเตอร์เน็ตได้ จะหาข้อมูลอะไรมันก็รวดเร็วทันใจ ไม่ต้องเดินทางไปไหนไกลๆ อีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้คนเรามีความอดทนน้อยลง และอยากจะได้อะไรเร็วๆ ทันที รอไม่ค่อยจะเป็น
ผมจำได้ว่าเคยอ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการรอคอย ผู้วิจัยได้นำเด็ก 4 ขวบมาทำการทดสอบเล็กๆ น้อยๆ ก็คือ ผู้วิจัยให้อมยิ้มกับเด็ก 4 ขวบ 1 อัน และบอกกับเด็กว่า ถ้าหนูรออีก 15 นาที โดยไม่กินอันแรกนี้ไปก่อน จะได้อมยิ้มอีก 1 อัน รวมเป็น 2 อันไปเลย
ผลการทดลองออกมาว่า 70% ของเด็กกินอมยิ้มอันแรกทันที โดยไม่รออีกอัน อีก 30% ยอมที่จะรอ 15 นาทีเพื่อที่จะได้อมยิ้มอีกอันเป็น 2 อัน
ซึ่งงานทดลองนี้ได้ทำซ้ำในอีกหลายประเทศ ซึ่งผลที่ออกมาก็ย้ำคำตอบเดิม ก็คือ 30% ของเด็กจะรอ 15 นาที ส่วนอีก 70% ไม่รอ
และเมื่อเวลาผ่านไปอีก 20 ปี ผู้ที่ทำวิจัย ก็ได้กลับไปตรวจสอบเด็กทุกคนที่เคยมาทำการวิจัยในครั้งนั้น ซึ่งผลปรากฎว่าเด็กที่ยอมอดทนรออมยิ้มอันที่สองนั้น ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงานมากกว่าเด็กที่ไม่รอ
งานวิจัยนี้สอนให้เรารู้ว่า สุภาษิตไทยของเราที่เขียนไว้ว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” นั้นยังใช้การได้อยู่
ย้อนกลับมาในยุคปัจจุบันซึ่งอะไรๆ ก็เป็นไปอย่างรวดเร็ว ผลก็คือคนสมัยใหม่ (รวมถึงคนสมัยเก่าที่รับอิทธิพลมา) ไม่ค่อยที่คิดมองไปไกลๆ สักเท่าไหร่ เห็นอะไรตรงหน้าก็คว้าไว้ก่อน ไม่คิดต่อว่าถ้ารออีกสักหน่อยน่าจะเกิดผลที่ดีกว่า ซึ่งมันก็จะขัดแย้งกับเรื่องของความสำเร็จในชีวิตของคนเรา ซึ่งความสำเร็จนั้นมันไม่ได้มาในชั่วข้ามคืนหรอกนะครับ มันต้องอาศัยเวลา อาศัยความอดทน
ในยุคปัจจุบันหลายๆ คนพยายามหาทางลัดที่จะไปสู่ความสำเร็จ และพยายามเลียนแบบความสำเร็จของบุคคลที่ประสบความสำเร็จหลายๆ คนในโลกนี้ โดยที่ไม่เคยมองว่าเบื้องหลังของความสำเร็จของบุคคลเหล่านี้นั้น เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง และต้องอดทนต่อความผิดหวังมาสักเท่าไหร่ พอเริ่มทำได้ไม่เท่าไหร่ ก็เริ่มบ่นว่าเหนื่อย ท้อ และไม่อยากทำแล้ว โดยไม่นึกเลยว่าคนที่ประสบความสำเร็จมาก่อนนั้นเข้าต้องเหนื่อยและท้อ และอดทนกว่าเรามากมายนัก
จากนั้นคนเหล่านี้ก็ล้มเลิกความพยายาม สุดท้ายชีวิตของเราก็จะวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ฉาบฉวย และทำงานแบบไปวันๆ โดยไม่ได้มองไปถึงอนาคตข้างหน้า
ดังนั้นคนที่อยากประสบความสำเร็จนั้น คงจะต้องมีการมองการณ์ไกล และพยายามที่จะอดเปรี้ยวไว้กินหวาน มีความอดทนเพื่อสิ่งที่ดีกว่าข้างหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น