วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

การบริหารทรัพยากรบุคคลด้วยหลัก Wellbeing

wellbeing

ได้อ่านหนังสือเรื่อง Wellbeing ที่เขียนโดย Tom Rath และ Jim Harter อีกรอบหนึ่ง ก็ทำให้ได้ไอเดียในการนำเอาแนวคิดของเขาไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายเรื่องของการบริหารทรัพยากรบุคคล แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2010 แต่แนวคิดในหนังสือเล่มนี้ ก็ยังใช้ได้อยู่จนถึงปัจจุบัน และผมคิดว่าน่าจะใช้ต่อไปได้ในอนาคตด้วย



ประเด็นที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้เน้นมากก็คือ การสร้างความผูกพันของพนักงานโดยอาศัยแนวคิดในการสร้าง Wellbeing ให้กับพนักงานใน 5 ด้านเป็นหลัก ซึ่ง 5 ด้านนี้เองก็ได้ผ่านการวิจัยของผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ว่า เป็นปัจจัยที่สามารถสร้างความรู้สึกผูกพันของพนักงานให้เกิดขึ้นได้

แต่สิ่งที่ผมอ่านแล้วได้ไอเดียก็คือ เราสามารถนำเอาปัจจัยทั้ง 5 นี้มาเป็นแนวทางในการสร้างระบบบริหารทรัพยากรบุคคลได้ทั้งระบบเลย และถ้าระบบบริหารทรัพยากรบุคคลของบริษัทเราสามารถตอบโจทย์ของพนักงานได้ทั้ง 5 ปัจจัยที่สามารถสร้าง Wellbeing ให้กับพนักงานได้จริง นอกจากบริษัทเราจะมีระบบ HR ที่ดีแล้ว เรายังจะได้รับ Engagement ที่สูงจากพนักงานอีกด้วย
Wellbeing 5 ด้านที่ว่านี้มีอะไรบ้าง ลองมาดูกันครับ
  • Career Wellbeing ด้านแรกที่ผู้เขียนเรียงเป็นอันดับหนึ่งก็คือ Career Wellbeing ก็คือ ระบบที่สามารถทำให้พนักงานที่เข้ามาทำงานกับบริษัทรู้สึกได้ว่า ทำงานที่นี่แล้วสามารถเติบโตไปได้ตามเส้นทางความก้าวหน้าสายอาชีพที่ตนต้องการ ดังนั้น ถ้าบริษัทต้องการจะตอบโจทย์ด้านนี้ให้กับพนักงาน ระบบ HR ที่จะต้องสร้างขึ้นมาก็คือ ระบบความก้าวหน้าในสายอาชีพ หรือที่เราเรียกกันว่า Career Path นั่นเองครับ และถ้าเราจะมีระบบ Career Path ที่ดี ระบบที่ต้องดีและต้องมีก่อนก็คือ ระบบการบริหารผลงานที่ดี เพื่อที่จะรู้ได้ว่าพนักงานคนไหนมีจุดแข็งจุดอ่อนอะไรบ้าง จะได้วางแผนในการพัฒนาได้ถูกต้อง นอกจากนั้นก็ต้องมีระบบการพัฒนาพนักงานที่แข็งแกร่งอีกด้วย เพื่อที่จะทำให้พนักงานรู้สึกได้ว่า เขาสามารถที่จะพัฒนาไปตามแนวทางเส้นทางอาชีพของเขาได้จริงๆ ดังนั้นพวก Competency และ Training Roadmap รวมถึง IDP ก็จะต้องสร้างขึ้นมาเป็นระบบ เพื่อทำให้พนักงานสามารถเติบโตในการทำงานได้
  • Social Wellbeing ปัจจัยด้านที่สองก็คือ Social Wellbeing คือการที่พนักงานเข้ามาทำงานแล้วมีสังคมที่ดี มีเพื่อนร่วมงานที่ดี มีนายที่ดี ฯลฯ ปกติแล้ว คนที่ทำงานแล้วเข้ากับคนอื่นไม่ได้เลย ทั้งเพื่อนและนาย ปกติก็จะอยู่ทำงานได้ไม่นาน หรือถ้าอยู่ได้ก็จะอยู่ทำงานแบบขอไปที ทำงานแบบซังกะตายไปวันๆ มากกว่า ดังนั้น ถ้าเราจะตอบโจทย์เรื่อง Social Wellbeing ให้ได้ ก็ต้องมีระบบในเรื่องของการสื่อสารในองค์กรที่ดี ทั้งแบบ tob-down และ Bottom-up นอกจากนั้น จะต้องมีการพัฒนาห้วหน้า และผู้จัดการให้สามารถนำทีมงาน สร้างทีมงาน และจัดการกับความขัดแย้งได้เป็นอย่างดี เพื่อทำให้พนักงานรู้สึกว่ามาทำงานที่นี่แล้ว เขาได้รับการตอบสนองในเรื่องของสังคมการทำงานรอบตัวเขาเป็นอย่างดี
  • Financial Wellbeing ปัจจัยด้านที่สาม ก็จะเป็นเรื่องของด้านการเงิน ซึ่งถ้าเรามองในระบบ HR แล้วมันก็คือระบบการบริหารค่าตอบแทนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นค่าตอบแทนที่เป็นตัวเงิน หรือไม่เป็นตัวเงิน ดังนั้นถ้าเราจะทำให้พนักงานรู้สึกได้ว่า มาทำงานที่นี่แล้วรู้สึกถึงความมั่นคงทางด้านการเงิน นั่นก็แปลว่า เราจะต้องสร้างระบบ Reward Management ที่แข่งขันได้ และเป็นธรรม ก็ต้องเริ่มกันตั้งแต่การวิเคราะห์งาน เพื่อประเมินค่างานและจัดระดับงานออกมาตามค่างานสำหรับตำแหน่งงานต่างๆ ภายในบริษัท จากนั้นก็ต้องมีการไปหาข้อมูลสำรวจค่าจ้างเงินเดือนที่ตรงกับเรา และนำมาจัดทำเป็นโครงสร้างเงินเดือนที่แข่งขันได้ แล้วก็วางระบบในการขึ้นเงินเดือน ปรับเงินเดือนในกรณีต่างๆ รวมถึงระบบรางวัลตามผลงาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโบนัส หรือ Incentive ตามผลงานก็ต้องสร้างให้ชัดเจน
  • Physical Wellbeing ปัจจัยด้านที่สี่ จะเป็นเรื่องของความรู้สึกมั่นคงทางด้านกายภาพ ซึ่งก็คือด้านร่างกายของพนักงาน กล่าวคือ มาทำงานแล้วไม่ทำให้สุขภาพเสียหาย แย่ลง รวมทั้งมีระบบที่ส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพที่ดี อาทิ มีโรงอาหารที่จำหน่ายอาหารที่ถูกสุขลักษณะ เลือกอาหารและเมนูที่ดีต่อสุขภาพ มีสถานที่ให้ออกกำลังกาย ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส โยคะ สปา รวมถึงเวลาที่พนักงานเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ก็มีระบบสวัสดิการที่ดูแลพนักงานอย่างดีเช่นกัน ซึ่งระบบ HR ที่ตอบโจทย์ทางด้านนี้ ก็จะเป็นระบบสวัสดิการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของพนักงานทั้งหมดนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มในอนาคตของสวัสดิการที่ดีที่เขาวิจัยกันก็มุ่งเน้นมาทางสุขภาพของพนักงานมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ
  • Community Wellbeing ปัจจัยด้านสุดท้ายก็คือ พนักงานรู้สึกว่าทำงานแล้วมีส่วนที่ทำให้สังคมรอบข้างที่ตนอยู่นั้นดีขึ้นไปด้วย ระบบที่เกี่ยวข้องมากที่สุดก็คือ เรื่องของ CSR ที่หลายๆ บริษัทปัจจุบันนี้ก็พยายามที่จะสร้างให้มีขึ้น โดยไปช่วยเหลือสังคมในแง่มุมต่างๆ และสนับสนุนให้พนักงานได้มีส่วนในการเข้าไปช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ ด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น บางบริษัทถ้าพนักงานจะไปเลี้ยงอาหารกลางวันคนชรา หรือเด็ก บริษัทจะอนุญาตให้ไปโดยที่ไม่ตัดค่าจ้าง และไม่ต้องเสียวันลาใดๆ เพราะถือว่าเป็นการทำเพื่อสังคม และบริษัทเองก็สนับสนุนให้ทำอย่างเต็มใจเช่นกัน
ท่านผู้อ่านลองใช้ wellbeing 5 ด้านนี้ประเมินระบบ HR ของบริษัทตนเองดูก็ได้นะครับ ว่าระบบ HR ของเรานั้นยังต้องเติมอะไรบ้างเพื่อให้ตอบโจทย์ครบทั้ง 5 ประการที่กล่าวมา ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้พนักงานเกิดความรู้สึกผูกพันต่อองค์กร และจะมีผลดีต่อการบริหารทรัพยากรบุคคลของบริษัทในอนาคตอีกด้วย ทั้งการดึงดูด พัฒนา เก็บรักษา และจูงใจ ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น