จากข่าวคราวการเลิกนโยบายการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ของบริษัท Yahoo
ก็เลยเกิดกระแสตามมาอีกมากมายว่า การให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้นั้น
มันเป็นนโยบายที่ดีจริงๆ หรือ ถ้าดี ทำไมองค์กรยักษ์ใหญ่อย่าง Yahoo
จึงยกเลิกนโยบายนี้ แล้วหันมาสนับสนุนให้พนักงานมาทำงานที่บริษัทแทน
มีหลายบริษัทที่มีนโยบายให้พนักงานทำงานที่บ้าน
ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งของการสร้างความสมดุลของชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัว
(Work-Life Balance) แต่อย่างไรก็ดี
เรื่องของการทำงานที่บ้านนั้นมีข้อจำกัดอยู่มากเหมือนกัน
เพราะไม่ใช่ทุกงานที่จะสามารถทำงานจากที่บ้านได้ โดยเฉพาะงานในโรงงาน
ซึ่งจะต้องมีกระบวนการผลิต
และมีเครื่องมือเครื่องจักรพิเศษที่จะต้องทำกันแต่ในบริษัทเท่านั้น
แล้วบริษัทเหล่านี้จะทำอย่างไรเพื่อสร้าง Work-Life Balance
มีงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นการศึกษาในเรื่องของความต้องการของคนในแต่ละ
Generation ผลที่ออกมาบอกเราว่า Generation X
เป็นกลุ่มคนที่ชอบที่จะทำงานจากที่บ้าน เนื่องจาก Gen X
จะอยู่ในช่วงที่เริ่มสร้างครอบครัวแล้ว มีลูกเล็ก
มีภาระที่ต้องดูแลพ่อแม่ที่แก่ตัวมากขึ้น
ทำให้ต้องการใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น
ดังนั้นก็เลยชอบนโยบายการทำงานที่บ้าน
แต่กลุ่ม Gen Y นั้น
งานวิจัยบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำงานที่บ้าน เพราะ Gen Y นี้ไม่ชอบอยู่คนเดียว
ต้องการเพื่อน ต้องการสังคมมากหน่อย ดังนั้นการมาทำงานที่บริษัท
จึงน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ขัดกับความต้องการของ Gen Y นี้
เนื่องจากต้องการสังคม Gen Y นี้ต้องการความสนุกสนานในชีวิต
สิ่งที่จะช่วยทำให้ Gen Y รู้สึกถึง Work-Life Balance ก็คือ
การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงานในออฟฟิศ ให้มีบรรยากาศที่สนุกสนาน ร่าเริง
มีกิจกรรมต่างๆ ให้เล่นกับเพื่อนๆ อาทิ มีเกมส์คอมพิวเตอร์ และเกมส์อื่นๆ
ที่สร้างความสนุกสนาน และความบันเทิงได้ ช่วงที่เหนื่อยก็มารวมตัวกัน
ถึงเวลาหายเหนื่อยก็ไปทำงานกันต่อ
ประเด็นของการทำงานที่บ้าน ถ้าองค์กรบางแห่งอยากจะนำมาใช้ ก็คงต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้ครับ
- ต้องชัดเจนในเรื่องของความคาดหวังในผลงาน
ถ้าจะเอานโยบายการทำงานที่บ้านมาใช้
สิ่งที่องค์กรจะต้องกำหนดให้ชัดเจนก็คือ
เราคาดหวังผลงานอะไรจากพนักงานบ้างกำหนดให้ชัดเจน
ถ้าสามารถกำหนดเป็นชิ้นงาน เป็นผลลัพธ์ของงาน
หรือเวลาที่ใช้ในการทำงานได้จะยิ่งดีครับ
เพราะเราไม่สามารถควบคุมการทำงานด้วยเวลาการทำงานได้
ดังนั้นสิ่งที่จะต้องใช้ก็คือผลงานที่ชัดเจนมาวัดกันเลย
- ไม่ควรให้ทำงานที่บ้านทุกวัน ประเด็น
ของการทำงานในองค์กรนั้น สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งก็คือการมีเพื่อนร่วมงาน
การได้ทำงานร่วมกับคนอื่น การประชุมงาน ฯลฯ ดังนั้น
การทำงานที่บ้านถ้าจะไม่ให้มีปัญหาเรื่องการทำงานเป็นทีม ก็ควรจะกำหนดว่าใน
1 สัปดาห์ในทำงานที่บ้านได้ 1-2 วัน นอกนั้นก็คือให้เข้ามาทำงานในบริษัท
อย่าลืมนะครับว่า มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ต้องการเพื่อน
ยิ่งเราจ้างเข้ามาอยู่ในบริษัท แปลว่าเขาต้องทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย
การที่ได้เข้ามาพบปะพูดคุยกันบ้าง จะทำให้
- ไม่ควรจะจับผิดพนักงาน ถ้า
เราจะมีนโยบายทำงานที่บ้าน
แปลว่าองค์กรก็ต้องมีความเชื่อใจพนักงานว่าเขาจะสร้างผลงานให้เราได้
ไม่ว่าเขาจะทำงานที่ไหนก็ตาม ไม่ควรที่จะโทรไปตาม
หรือสืบว่าพนักงานทำงานจริงๆ หรือเปล่า หรือบางคนก็มักจะรู้สึกไม่ดี
เวลาที่พนักงานขอทำงานที่บ้านในบางวัน ก็จะคิดไปเองว่า
พนักงานคนนั้นไม่ได้ทำงานแน่นอน จะต้องขี้เกียจ หรือนอนอยู่ ฯลฯ
ถ้าผู้บริหารคิดแบบนี้ นโยบายการทำงานที่บ้านก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นครับ
- อย่าลืมว่า ทำงานที่บ้านก็ต้องมีการสอนงานและอบรม พนักงาน
ที่ทำงานที่บ้านเป็นส่วนใหญ่นั้น หัวหน้าจะไม่ค่อยได้พบเจอมากนัก
ก็เลยทำให้มองไม่เห็นว่าจุดแข็งหรือจุดอ่อนของพนักงานคนนั้นมีอะไรบ้าง
สุดท้ายคนกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยได้รับการพัฒนาอบรมมากนัก
ดังนั้นหัวหน้าก็คงต้องมีการเข้ามาดูแลพูดคุย
รวมทั้งให้พนักงานเข้าบริษัทเพื่อมาประชุมบ้าง ร่วมกันคิดงานบ้าง
เพื่อจะได้วิเคราะห์พนักงานได้ดีขึ้น
จะได้วางแผนในการพัฒนาพนักงานได้อย่างชัดเจน
จะว่าไปเรื่องของ
การทำงานจากที่บ้านนั้น ไม่ได้เหมาะกับทุกลักษณะธุรกิจ
ส่วนใหญ่จะเหมาะกับธุรกิจทางด้าน IT มากหน่อย และธุรกิจที่ปรึกษา
ซึ่งสามารถที่จะทำงานจากที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าบริษัทมากนัก
แต่ข้อจำกัดที่เกิดขึ้นก็คือ ทำงานที่บ้านหรือ ทำงานนอกบริษัทมากๆ
จะทำให้การทำงานเป็นทีมหายไป ยิ่งไปกว่านั้น
ความคิดสร้างสรรค์ที่มาจากการต่อยอดความคิดซึ่งกันและกันนั้น
ส่วนใหญ่จะมาจากการที่ได้พูดคุยถกเถียงกันมากกว่า การคิดคนเดียว
ถ้าจะริเริ่มนโยบายนี้ก็คงต้องพิจารณาลักษณะงานขององค์กรเราด้วยนะครับว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ